กูรูแนะลงทุนอสังหาฯระมัดระวัง-คอนโดฯ เสี่ยง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2561 นั้น ยังต้องระวังความเสี่ยงในเรื่องของการส่งมอบ หากประสบปัญหาวิกฤตจะควบคุมยาก และจะสาหัสกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านถึงกว่า 10 เท่าตัว เนื่องจากดีมานด์มีจำนวนจำกัด ขณะเดียวกันดีมานด์ตลาดระดับล่างก็ยังไม่ ฟื้นตัวมาก เชื่อว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2561
"หากขายได้แต่โอนไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ดีเวลลอปเปอร์บางรายที่ลงทุนพัฒนาคอนโดฯเกินตัว ผลออกมาบาดเจ็บซึ่งก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้วทั้งการโหมลงทุนคอนโดฯในต่างจังหวัด รวมถึงคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ดังนั้น หากจะลงทุนก็ต้องมีความระมัดระวังในการบริหารจัดการมากขึ้น เพราะเมื่อมีปัญหาจะควบคุมได้ยาก" นายประเสริฐกล่าว
แนวโน้มการลงทุนอสังหาฯในปี 2561 และต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี ยังคงเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพราะต้นทุนที่ดินที่แต่ละรายที่ถือครองนั้นมีค่อนข้างสูง ทำให้ขนาดการลงทุนในแต่ละโครงการระดับหมื่นล้านบาท พัฒนาในรูปแบบ "มิกซ์ยูส" ซึ่งรวมๆแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 400,000 ล้านบา
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการควรพัฒนาโครงการในทำเลที่ตนเองมีความถนัดไม่ควรไปลงทุนในทำเลที่ตัวเองยังไม่มีความถนัด เพราะจะต้องเจอคู่แข่งที่เป็น
เจ้าตลาดในทำเลนั้นๆ รวมไปถึงรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะฝ่ายขายที่ไม่มีความคุ้นเคยกับลูกค้าในทำเลนั้น สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมหากไม่มีความมั่นใจก็ไม่ควรเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ เพราะใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ทำให้ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ต้องรอบรู้เรื่องตลาด คนก่อสร้างซึ่งควบคุมยาก
เทรนด์อสังหาฯในอนาคต
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต จะต้องพิจารณาจากรอบด้านทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งในอนาคตกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติอาจลดน้อยลงจากการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เม็ดเงินที่จะเข้ามาถูกดึงอกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ปัจจัยภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าไทยจะเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัย ต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อรองรับวิถีชีวิตของคนสูงอายุ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และเข้าถึงวิถีชีวิตของคน ย่อมมีอิทธิพลกับการอยู่อาศัยอย่างแน่นอน
สำหรับแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต คือ การลงทุน เทรนด์ของการอยู่อาศัย และทำเลที่ตั้ง เทรนด์ที่ 1 ด้านการลงทุน เราจะพบว่าผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนา โครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพของหน่วยงานรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่ผสมผสานการใช้พื้นที่ ในด้าน
ของผู้ซื้อเอง ก็หันมาให้ความสนใจมากขึ้นเนื่องจากถูกกว่า นอกจากนี้ จะเห็นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-used) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ลดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น และตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเข้ามาเพิ่มบทบาทความสำคัญ ทั้งในแง่การลงทุนขนาดใหญ่และรายย่อย บริษัทต่างชาติจะให้ความสนใจร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาโครงการในไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อยหลายโครงการ โดยมีแนวโน้มที่จะนำเงินลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยกลุ่มร่วมทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจนั้น มีมาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยต่างชาติที่ซื้อห้อง เพื่อลงทุนระยะยาวและปล่อยเช่า ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เทรนด์ที่ 2 ด้านการอยู่อาศัยในอนาคต เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น การเกิดตลาดที่เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Home หรือ Elderly Care) จะเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์สังคมไทย และจะเป็นสินค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจะทำให้ผู้บริโภคชาวไทยยอมรับ และปรับเข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยได้นั้น เป็นความท้าทายหลักของสินค้าประเภทนี้ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนได้อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจึงยิ่งต้องพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ให้ทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เช่นกัน คือ บ้านที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี นอกจากนี้แนวคิดของการมี บ้านที่อยู่อาศัยได้จริง เช่น ห้องขนาดเล็กแต่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ บ้านที่อยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนด้วยคุณภาพของการก่อสร้าง สุดท้าย บ้านที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ผู้อาศัยได้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ในระยะยาว
เทรนด์ที่ 3 ด้านทำเลที่ตั้ง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำแนวโน้มการอยู่อาศัย โดยทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทำเลใจกลางเมือง โดยใจกลางเมืองจะถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางขนาดย่อม (Node) มากขึ้น เช่น พร้อมพงษ์ถึงทองหล่อเป็นแหล่งศูนย์กลาง luxury lifestyle ที่มีทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านราคาสูง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวและ ร้านอาหารชิคๆ มากมาย ศูนย์กลางธุรกิจใหม่แถบแยกรัชดาฯ พระราม 9 ทำเลศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าเยาวราชเจริญกรุง และศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี อาทิ หลังสวน เพลินจิต
กลุ่มทำเลที่สอง คือกลุ่มทำเลติดรถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นทำเลที่ควรต้องคำนึงถึงอย่างมาก เพราะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ดี ย่อมส่งผลถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ตามไปด้วย โดยทำเลที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ บางซื่อ เนื่องจากทางภาครัฐกำลังพยายามที่จะผลักดันเป็น Transit Oriented Development (TOD) เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามอง ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างสายสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม ยังคงมีความน่าสนใจและ สุดท้ายเป็นกลุ่มทำเลริมแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเจริญนคร เจริญกรุง ที่กำลังจะเป็นศูนย์กลาง ชอปปิ้งและไลฟ์สไตล์ใหม่