SEAFCOเขย่างาน3พันล.จ่อตอกเข็ม วัน แบงค็อก
Loading

SEAFCOเขย่างาน3พันล.จ่อตอกเข็ม วัน แบงค็อก

วันที่ : 25 ธันวาคม 2560
SEAFCOเขย่างาน3พันล.จ่อตอกเข็ม วัน แบงค็อก

SEAFCO ลุ้นรับงานบิ๊กโปรเจ็กต์ มูลค่า 3,000 ล้านบาท จาก การเข้าประมูลงานฐานรากโครงการ วัน แบงค็อก คาดมีโอกาสได้งานกว่า 1,000 ล้านบาท รู้ผลต้นปีหน้า ด้านโบรกพื้นฐานแข็งแกร่งปรับราคาเป้าหมาย เป็น 11.40 บาท เหตุมีงานฐานรากต่อคิวจำนวนมาก แถมมาร์จิ้นสูง ทั้งงาน One Bangkok และ Super Tower

แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO อยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานฐานราก โครงการ วัน แบงค็อก ซึ่งมีมูลค่างานประมาณ 3,000 ล้านบาทคาดว่า SEAFCO จะได้งานไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรู้ผลในช่วงต้นปีหน้า จะช่วยหนุนให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่า Backlog จะทำสถิติสูงสุดทะลุ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบัน SEAFCO ได้ยื่นประมูลเป็นมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นงานอาคารที่จะทยอยรู้ผลในปีหน้า

สำหรับโครงการวัน แบงค็อก เป็นโครงการที่พัฒนาโดยกิจการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 80.1% และ FCL 19.9% บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากประเทศสิงคโปร์ โดยจะพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์เมืองแห่งการครบครัน ใช้งบลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท มีพื้นที่โครงการทั้งหมด 104 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนเตรียมทหารเก่าโดยจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส

ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน โรงแรมหรู 5 โรงแรม ที่พักอาศัยระดับอัตราลักชัวรี่ 3 อาคาร ร้านค้าปลีก พื้นที่กิจกรรมและศิลปวัฒนธรรม รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวจำนวน 50 ไร่ จากพื้นที่โครงการทั้งหมด โดยจะเริ่มทยอยเปิดในปี 2564 และทั้งโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568

ธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจ SEAFCO มีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 3.0 พันล้านบาท โดยที่ประมาณ 80% ของงานที่มีเป็นงานเฉพาะค่าแรงซึ่งมาร์จิ้นสูง หลักๆ เป็นงานรถไฟฟ้าสายสีส้มราว 1.6 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เริ่มทำงานแล้ว และคาดมีการทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 18 เดือนข้างหน้า

ส่วนปี 2561 คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้งานใน Backlog ราว 70% หรือราว 2.1 พันล้านบาท ส่งผลให้รายได้ปี 2561 ที่คาดว่าจะเติบโตราว 25% มี Backlog รองรับไว้ทั้งหมดแล้ว ในขณะที่มีโอกาสมากกว่าคาดจากงานที่รับเพิ่มเข้ามาระหว่างปีซึ่งปกติแล้วบริษัทจะมีการทยอยรับงานอาคารทั่วไปเข้ามา ระหว่างปี

งานฐานรากล้นตลาด

ขณะที่งานฐานรากในตลาดยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งงานภาครัฐ และงานเอกชน โดยบริษัทยื่นประมูลงาน และอยู่ระหว่างรอผลอีกราว 7.1 พันล้านบาท หากอิงสถิติการชนะประมูลในปีนี้ ซึ่งอยู่ในอัตรา 40% ของงานที่ได้ยื่นประมูลไป เท่ากับบริษัทมีโอกาสได้งานราว 2.5-3.0 พันล้านบาทในปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้บริษัทมี Backlog ยาวไปถึงปี 2562 โดยงานภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่บริษัทมีศักยภาพในการเข้ารับงาน ได้แก่โครงการ One Bangkok และ โครงการ Super Tower บนถนนพระราม 9 ที่มีความสูงถึง 615 เมตร ซึ่งจะต้องการเสาเข็มขนาดพิเศษ

อย่างไรก็ดีทางผู้บริหารเปิดเผยถึงแผนการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตถึง 200 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มเครื่องจักรจากเดิมที่มี 40 ชุด ให้เป็น 50 ชุด หรือคิดเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตราว 25% เทียบเท่ากับการรับงานได้ปีละประมาณ 5.0 พันล้านบาท (รวมวัสดุ) อีกทั้งยังมีการสั่งเครื่องจักรพิเศษที่สามารถเจาะเข็มได้ลึกถึง 120 เมตร (จากขนาดปกติที่ 60 เมตร) เพื่อรองรับการทำงานใหญ่พิเศษอีกด้วย และบริษัทยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่จะสามารถหักภาษีได้ 1.5 เท่า ส่งผลให้อัตราภาษีจ่ายมีโอกาสน้อยกว่าสมมติฐานที่ 20%

ปรับเป้าใหม่ 11.40 บาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษามาร์จิ้นในระดับสูงได้ โดยคาดผลกระทบต่อการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง (ปูน, เหล็ก) จะกระทบต่อมาร์จิ้นจำกัด เพราะว่า Backlog ราว 80% เป็นงานเฉพาะค่าแรง (ไม่รวมวัสดุ) ซึ่งนอกจากจะมีมาร์จิ้นที่สูงแล้ว งานเฉพาะค่าแรงนี้ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้จัดหาวัสดุให้ ขณะที่ปัจจุบันหุ้นเทรด P/E 24 เท่า ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 11.40 บาท โดย Re-Rate P/E ขึ้นเป็น 28.5 เท่า (เท่าค่าเฉลี่ยในอดีต +2SD)

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ทันหุ้น