แห่ผุดมิกซ์ยูสกว่า7แสนล.มีเสี่ยง พฤกษา ชูโมเดล ขายบ้าน24ชม.
บิ๊กพฤกษาระบุอสังหาฯปี 61 สดใส แนวโน้มเศรษฐกิจโต ดอกเบี้ยต่ำ อินฟรา สตรักเจอร์ ปัจจัยหนุนตลาด เตือนโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่เสี่ยง เหตุกลุ่มลูกค้ามีจำกัด เผยปี 61 กลุ่มพฤกษาพรีเมียมลงทุนบ้าน-คอนโดฯ 7-8 โครงการ จับตา พฤกษา กับโมเดล "ขายบ้าน 24 ชั่วโมง" ทั้งกลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักขายผ่านระบบออนไลน์ จัดพอร์ตบางส่วนให้โบรกเกอร์ช่วยขาย จูงใจลูกบ้านแนะนำคนซื้อ ผนึกแบงก์ดูแลลูกค้ากู้ซื้อบ้านเดี่ยว
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยด้านทิศทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตจากปี 2560 อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้สภาพคล่องในระบบยังมีเหลือจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ โครงการผสมผสาน(มิกซ์ยูส)ได้จำนวนมาก รวมถึงโครงการอินฟราสตรักเจอร์ของรัฐบาลได้เริ่มเป็นรูปธรรม และทยอยลงทุนในหลายโครงการ ภาคเอกชนเริ่มลงทุนตามการขยายตัวของอินฟราสตรักเจอร์ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 ยังมีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีความผันผวนอยู่บ้าง ทั้งจากปัจจัยลบภายในและภายนอกประเทศ ตลาด อสังหาฯในปีหน้าการแข่งขันยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ตลาดยังคงเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพในด้านการลงทุน และความเชี่ยวชาญ ซึ่งผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กควรปรับตัวพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค หาช่องว่างตลาด เข้าไปในตลาดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังไม่ได้เข้าไป
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ในปี 2561 ตลาดระดับบนยังเป็นตลาดที่เติบโตได้ดี ผู้ประกอบการจะยังคงให้ความสำคัญต่อตลาดระดับบน เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อ แต่ตลาดในรับนี้ในแต่ละทำเลมีลูกค้าจำนวนน้อย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องสำรวจความต้องการให้ดี
"สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของกลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-พรีเมียม จะพัฒนาในรูปแบบปลาใหญ่ทำตัวเป็นปลาเล็กที่มีความคล่องแคล้ว ว่องไว และเป็นปลาเก่งพัฒนาโครงการขนาดไม่ใหญ่มาก แต่สามารถปิดการขายได้เร็ว ซึ่งการพัฒนาในรูปแบบนี้เหมาะสำหรับตลาดระดับบนที่ในแต่ละทำเลมีลูกค้าจำนวนจำกัด"
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การที่สภาพคล่องในระบบเหลือเยอะ นอกจากจะส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน ทำให้มีการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังมีข้อเสียคือ การที่ผู้ประกอบการต่างพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ออกสู่ตลาดจำนวนมาก ส่งผลให้มูลค่าโครงการรวมสูงถึง 6-7 แสนล้านบาท เพียงแค่ไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดรวมที่อยู่อาศัยทั้งระบบ โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่เน้นโครงการระดับบนที่มีลูกค้าจำนวนจำกัด ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่โครงการจะไม่ประสบความสำเร็จได้
สำหรับการลงทุนของกลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-พรีเมียม ในปี 2561 ตั้งเป้าพัฒนา 7-8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4-5 โครงการที่เหลือเป็นโครงการแนวราบ
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2561 ยังคงให้น้ำหนักไปกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งในปีหน้าจะเปิดประมาณ 70% ของโครงการทั้งหมดที่จะเปิดตัว โดยทางบริษัทจะมีการพัฒนาโปรดักส์ใหม่ออกมารองรับความต้องการของตลาดที่ขยับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบใกล้เมืองมากขึ้น ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯจะเป็นสินค้าโครงการคอนโดมิเนียม
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องกลยุทธ์การขายนั้น ทางพฤกษา กำลังพัฒนาโมเดล "การขาย 24 ชั่วโมง" กล่าวคือ จะเพิ่มน้ำหนักกว่า 50% ไปกับการขายผ่านออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมา พฤกษาประสบความสำเร็จกับการพัฒนากลยุทธ์ในส่วนนี้ ขณะเดียวกัน จะมีการดึงตัวแทนขาย(โบรกเกอร์)ในแต่ละตลาด เข้ามาสนับสนุนการขาย โดยจะมีการจัดสรรสินค้าที่อยู่อาศัยของพฤกษาฯให้เหมาะสมกับโบรกเกอร์ที่จะเข้าดูแลการขายให้บางส่วน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจให้กับสมาชิก(ลูกบ้าน)ของพฤกษา ที่มีการนำแนะลูกค้าเข้าซื้อโครงการ โดยจะได้แต้มเพื่อสะสมในการแลกสิทธิพิเศษ เช่น เงินสด การท่องเที่ยวไปต่างประเทศ การซื้อสินค้าต่างๆ เป็นต้น
"โมเดลที่ว่า จะช่วยให้เราสามารถขายโครงการที่อยู่อาศัยได้ 24 ชั่วโมง ถามว่าโอกาสจะเพิ่มยอดขายหรือไม่ ตรงนี้ น่าจะเป็นเรื่องของการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการและสินค้าของพฤกษา ขณะเดียวกัน เรา หมายถึง พฤกษา พยายามเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องช่องทางการขายมากขึ้น มีผลต่อต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่สามารถควบคุมได้"
ในส่วนของการบริหารลูกค้ากับการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินนั้น โดยภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ โดยเฉลี่ยของพฤกษา ยอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อ 10% แต่หากแยกลงประเภทของโครงการแนวราบ จะพบว่าโครงการบ้านเดี่ยวมีอัตราปฏิเสธสินเชื่อ ประมาณ 30% ซึ่งวิธีการของบริษัท คือ การจับมือกับสถาบันการเงินในการเข้ามาตรวจสอบฐานะลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการขอสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่น