อสังหาเปิดศึกดิจิทัล แข่งเทคโนโลยีตอบโจทย์ลูกค้า
เป็นที่ทราบดีว่าโลกยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองก็ตกอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เช่นกัน เมื่อเกือบทุกกระบวนการในการซื้อ-ขายบ้าน ถูกส่งไปอยู่ในระบบออนไลน์ การก่อสร้างระบบสำเร็จรูปที่ใช้หุ่นยนต์ในกระบวนการผลิต การบริการที่มีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยทำงานแทน สิ่งเหล่านี้กำลังพลิกโฉมธุรกิจครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
อนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า กระแสการมาของเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องปรับตัวให้ทัน อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกิดขึ้นถือเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจและรู้จักลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วผู้ประกอบการต้องค้นหาให้เจอว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเองกำลังมองหาอะไร สำหรับการอยู่อาศัยในโลกอนาคต
ทั้งนี้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เอพีได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลักในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเอพี ผ่านการผสมผสานประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Thing) ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์ อย่างห้องน้ำสำเร็จรูปที่ให้ค่าความบกพร่องเท่ากับศูนย์
นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็วและแบ่งแยกเป็นกลุ่มย่อยที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้สินค้าเอพีประสบความสำเร็จคือ การทำงานภายใต้แนวคิดการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Mass Customized Design) ซึ่งเราเปิดให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบ ภายใต้ทางเลือกที่เรากำหนดขึ้นลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน ขยาย ลด พื้นที่การใช้งานได้ตามต้องการ
สำหรับในปีที่ผ่านมา บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ได้โดดเข้าสู่โลกแห่งนวัตกรรมกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นบ้านอัจฉริยะ หรือสมาร์ทโฮม การร่วมกับกลุ่มสตาร์ทอัพต่างๆ พัฒนานวัตกรรม ตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนี้เรื่องของนวัตกรรม ดิจิทัล บิ๊กดาต้า โรบอต ไอเอ ไอโอที จะกลายเป็นประเด็นหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ
ไม่เพียงแต่บริษัทรายใหญ่ที่ขยับตัวใน เรื่องของนวัตกรรมรับกับยุคดิจิทัล บริษัท รายกลางรายเล็กก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในจุดนี้ เมื่อเทคโนโลยีราคาถูกลง ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ กล่าวว่า ในปี 2561 บริษัทเตรียมจัดตั้งบริษัทใหม่ที่มาให้บริการ ทางด้านไอที เพื่อมารองรับความต้องการที่อยู่อาศัย โดยจะไม่ได้เป็นผู้ผลิตทางด้านเทคโนโลยีเอง แต่จะพยายามมองหานวัตกรรมมาใช้ให้เหมาะกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า เน้นทางด้านการบริการประเภทโฮมโซลูชั่น อาทิ ไฟแอลอีดี ที่เมื่อตื่นขึ้นยามดึกลุกจากเตียงจะสว่างอัตโนมัติ แอพพลิเคชั่นผ่านโทรศัพท์มือถือชื่อสมายด์ ที่ไว้สื่อสารกับผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการ เป็นต้น
ขณะที่ เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า เทรนด์การอยู่อาศัยในยุค 4.0 ซึ่งเกี่ยวกับการอยู่อาศัยของคนในอนาคตข้างหน้า โดยมีปัจจัยจากเทคโนโลยี Disruptive เข้ามากำหนดรูปแบบการอยู่อาศัยในอนาคตให้เปลี่ยนไปจากปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาสู่ตลาดในอนาคตจะทำให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป
สำหรับเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคตจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน เทรนด์แรก คือ บ้านในอนาคตจะเป็นดิจิทัลโฮม หรือสมาร์ทโฮมมากขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่บ้านในอนาคตจะมีลักษณะเป็นบ้านดิจิทัล หรือบ้านอัจฉริยะมากขึ้นนั้น เนื่องจากเทรนด์ในเรื่องของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นที่เข้ามาทำให้อุปกรณ์ต่างๆ มีการเชื่อมต่อกับระบบสื่อสารไร้สาย และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
ประกอบกับอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ จะทำให้เครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายการสื่อสารและคุยกันเองได้มากขึ้น เราสามารถกำหนดความต้องการในการอยู่อาศัยผ่านการกำหนดค่าต่างๆ ได้ตามชอบ อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในบ้านที่แปรเปลี่ยนไปจากระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ และการควบคุมด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้นเรียนรู้พฤติกรรมผู้อยู่อาศัยได้ด้วย
บ้านในอนาคตจะมีคุณสมบัติที่สำคัญ 2-3 ประการ คือ เป็นบ้านที่มีความสะดวกสบายต่างๆ มากขึ้น และบ้านในอนาคตจะ ช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น และสุดท้าย บ้านในอนาคตจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในบ้านจะมีระบบประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสามารถคุยกับเราได้แม้ว่าเราอยู่นอกบ้าน ขณะเดียวกันระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ จะช่วยปรับการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เทรนด์ที่ 2 ของการอยู่อาศัยในอนาคต คือ เรื่องของโฮมแชริ่ง ด้วยเครือข่ายสังคมออนไลน์ และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ช่วยให้เราบริหารพื้นที่ว่างในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในอนาคตคนมีแนวโน้มที่จะหาประโยชน์จากพื้นที่ว่างในบ้านผ่านการแบ่งปันพื้นที่ผ่านแอพ จากเมื่อก่อนที่เมื่อคนไม่อยู่บ้านหรือห้องพัก การใช้ประโยชน์ต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นเลย
ส่วนเทรนด์สุดท้าย คือ ผู้คนจะเน้นในเรื่องของการประหยัดพลังงานมากขึ้น บ้านในอนาคตจะมีตัวเลือกมากมายในการประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อผลิตไฟฟ้าเองจากแสงอาทิตย์ รวมทั้งการออกแบบให้บ้านเย็นขึ้น ช่วยให้ประหยัดค่าไฟทางอ้อม
การแข่งขันในยุคดิจิทัลจะดุเดือดยิ่งขึ้นแน่ เมื่อทุกบริษัทเดินเข้าสู่สมรภูมิที่มีเครื่องไม้เครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น สงครามการตลาดอสังหาฯ ยุคดิจิทัลจะเปิดฉากขึ้นอีกไม่นานนี้แน่นอน
การตลาดยุค 4.0 ของ Kotler
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า จากหนังสือ Marketing 4.0 : Moving from Traditional to Digital ที่เขียนโดยกูรูการตลาดชื่อก้องโลก Philip Kotler ได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายของการตลาด 4.0 ที่จะมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลเอาไว้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเลย คือ กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ คนกลุ่มนี้เป็นคนที่เติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารมีความก้าวหน้าอย่างมาก พวกเขาจะสัมผัสกับอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ยังเล็ก และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เป็นอย่างดี
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มของผู้หญิง ประชากรผู้หญิงนั้นจะรู้จักเลือกหาสินค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของ ตัวเองและมองหาข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่เรียกว่า Netster เป็นกลุ่มที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมาก ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่จำกัดอายุหรือเพศ ลักษณะของคนกลุ่มนี้จะมีการคอนเนกต์กับโลกออนไลน์อยู่ตลอด จะไม่ตกข่าว และพึ่งพาการหาข้อมูลจากโลกออนไลน์ก่อนการตัดสินใจต่างๆ
โดยสรุปแล้วการทำการตลาด 4.0 ในอนาคตนั้น ธุรกิจจะต้องมุ่งเน้นการสร้างสินค้าและการสื่อสารแบรนด์ที่ตอบโจทย์พลเมืองออนไลน์ในอนาคตที่มีพฤติกรรมเชื่อมต่ออย่างถึงกันอยู่ตลอดในชุมชนออนไลน์ ซึ่งพลเมืองกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยกลุ่มเยาวชน ผู้หญิง และบรรดา Netster ต่างๆ บทบาทของสื่อการตลาดดั้งเดิมจะลดลงอย่างมาก
ขณะที่กลยุทธ์ทางการตลาด จะทำผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น ช่วย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถอาศัยผลของเครือข่ายในการสร้างกระแสของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตกกระแสได้อีกด้วย