สังคมไทย 3-5 ปี สู่ยุคโฮมออโตเมชั่น
Loading

สังคมไทย 3-5 ปี สู่ยุคโฮมออโตเมชั่น

วันที่ : 9 พฤศจิกายน 2560
สังคมไทย 3-5 ปี สู่ยุคโฮมออโตเมชั่น

ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเข้าสู่ "โฮม ออโตเมชั่น" หรือภายในบ้านจะมีระบบควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ แบบอัตโนมัติ และการพัฒนาของเทคโนโลยีอาจถึงขั้นสู่สมาร์ทโฮมอย่างเต็มตัว หรือที่เรารู้จักกันบ้านอัจฉริยะ

ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธาน ผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มแข่งขันการพัฒนาฟังก์ชั่น โฮม ออโตเมชั่น ในปีหน้าจะมีให้เห็นเพิ่มขึ้น เพราะเป็นปัจจัยการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในยุค 4.0 ที่บ้านจะต้องมีฟังก์ชั่นออโตเมชั่นให้กับผู้ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเจเนอเรชั่นวาย และต่อไปในอนาคต โฮม ออโตเมชั่นจะเป็นฟังก์ชั่นแค่พื้นฐานที่บ้านหนึ่งหลังจะต้องมี เพราะเทคโนโลยีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต

ในส่วนของบริษัทนั้น ปีนี้ได้ลงทุนทางด้านเทคโนโลยีกว่า 100 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะลงทุนเพิ่ม 500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือเรียกว่า นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย (Prop Tech) เติมเต็มการอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

กระบวนการเริ่มตั้งแต่การพัฒนาอุปกรณ์ภายในบ้านให้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ เพื่อรองรับกับเทรนด์สมาร์ทโฮม โดยบริษัทจะมีโฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น สำหรับลูกบ้านแสนสิริให้บริการ ควบคุมการเปิดหรือปิดประตูและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทจะขยายการให้บริการแอพพลิเคชั่นไปสู่รูปแบบการช็อปปิ้งออนไลน์ สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพ โดยเบื้องต้นได้เจรจากับเฟอร์นิเจอร์เอสบี และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และมีแนวโน้มว่าจะขยายการบริการไปสู่การสั่งอาหารด้วยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนเมืองที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยบริษัทจะดีลกับผู้ประกอบการในส่วนของสิทธิประโยชน์ของลูกบ้านแสนสิริ

"ขณะนี้มีลูกบ้านดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น 1.2-1.3 แสนดาวน์โหลด โดยมีผู้แอ็กทีฟหรือใช้งานไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง/เดือน ราว 2 หมื่นราว ส่วนใหญ่เป็นการใช้บริการพื้นฐานติดต่อกับนิติบุคคล ปีหน้าผมเชื่อว่าคนจะเริ่มใช้งานสำหรับมอนิเตอร์หรือตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เช็กการเปิดหรือปิดการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า คาดว่าในปีหน้าจะมียอดดาวน์โหลด 3 แสนราย และมีผู้แอ็กทีฟ 4 หมื่นราย/เดือน"

อย่างไรก็ดี เทรนด์สมาร์ทดีไวซ์กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง จากเดิมการสั่งงานจะผ่านแอพพลิเคชั่นไปสู่การใช้งานในระบบเสียง นั่นคือโจทย์ที่แสนสิริจะต้องพัฒนาต่อไป ล่าสุดบริษัทได้จับมือร่วมกับ Amazon Web Services จากเดลิเทค ในการพัฒนาระบบสั่งงาน ด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence Solutions และ Sansiri AI Box ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะเพื่อควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านด้วยเสียง

ทวิชา กล่าวต่อถึงยุคของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ว่า แสนสิริได้นำหุ่นยนต์อัจฉริยะมาใช้งานในโครงการแนวสูง โดยนำ แสนดี เดลิเวอรี่ โรบอต มาให้บริการภายในคอนโดมิเนียม เป็นสมาร์ทบ็อกซ์ในการรับส่งพัสดุจากนิติบุคคลกับลูกบ้าน ขณะนี้ได้ทดลองใช้งานแล้วอยู่ 2 ตัว ส่วนในโครงการแนวราบ จะนำมาใช้เป็นหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ซึ่งจะเริ่มใช้งานได้จริงกลางปีหน้า รวมทั้งยังสนใจพัฒนาพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานจากลม ภายใต้บริษัทแสนสิริ เวนเจอร์

"แสนสิริต้องการตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาฯ ทางด้านเทคโนโลยีมาใช้ แต่การพัฒนาบ้านยังคงเป็นหัวใจหลักของเรา โมเดลการทรานส์ฟอร์เมชั่นที่ประสบความสำเร็จ เทสล่า ที่ผลิตรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า กระทั่งเป็นที่ฮือฮาและคนจองทั่วโลก ซึ่งเราหวังว่าจะใช้เทคโนโลยีการสร้างสังคมของแสนสิริก้าวไปสู่สมาร์ทโฮม ซึ่งในไทยเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น และขณะนี้ประเมินว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราก้าวสู่ โฮม ออโตเมชั่น 60% และพร้อมจะขับเคลื่อนไปในอีก 3-5 ปีข้างหน้าชนิดที่เรียกว่า 100%"

ด้านกลยุทธ์ผลักดันการขาย บริษัทนำเทคโนโลยีวีอาร์ (Virtual Reality: VR) มาใช้สร้างประสบการณ์การเข้าชมโครงการสู่โลกเสมือนจริง และในอนาคตอาจร่วมกับผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ (Collaboration) เพื่อสร้างคอนเทนต์นำเฟอร์นิเจอร์มาอยู่ในโลกของวีอาร์โดยที่สามารถขายเฟอร์นิเจอร์ได้เลย

อีกหนึ่งกลยุทธ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุค 4.0 การนำบิ๊กดาต้า หรือการนำฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค

บิ๊กอสังหาฯ ของเมืองไทย เริ่มตื่นตัว กับการขับเคลื่อนธุรกิจสู่สมาร์ทโฮม มาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น อนันดา เอพี แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และพฤกษา แต่อุปสรรคที่ทำให้ตลาดไปได้ช้า มาจากเทคโนโลยีที่จะนำเข้ามาติดตั้งยังมีราคาสูง ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนและทำให้ราคาที่อยู่อาศัยแพงขึ้นนั่นเอง

"อีกหนึ่งกลยุทธ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ตอบโจทย์ ผู้บริโภคยุค 4.0 การนำบิ๊กดาต้า หรือการนำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มาวิเคราะห์พฤติกรรมของ ผู้บริโภค"

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ