'ดีแลนด์'ปักธง ไลฟ์สไตล์มอลล์ 'พอร์โต้โก'20แห่ง
ดี-แลนด์กรุ๊ป เปิดเกมรุกขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์มอลล์-ที่อยู่อาศัย เกาะแนวอีอีซี-เส้นทางท่องเที่ยว ทุ่ม 8 พันล้าน ปั้นแบรนด์ "พอร์โต้โก" จุดแวะพักระหว่างเดินทาง ดักเส้นทางรอบกรุงเทพฯ-ภาคตะวันออก ตั้งเป้า 5 ปี ผุด 20 โครงการ ลงทุนเฉลี่ยแห่งละ 400 ล้าน เพิ่มพอร์ตรายได้ ด้านอสังหาฯรุกหนักเปิดโครงการที่อยู่อาศัยเกาะแนวอีอีซี
นายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจ 5 ปีข้างหน้าว่า จะมุ่งขยายการลงทุนธุรกิจศูนย์การค้าในรูปแบบไลฟ์สไตล์มอลล์ ภายใต้แบรนด์ใหม่ พอร์โต้โก วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นจุดแวะพักระหว่างการเดินทาง (Rest Area) ที่ให้บริการคุณภาพและปลอดภัยมีร้านค้าแบบไดรฟ์ทรูอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ 4-5 ร้านแม่เหล็กหลัก มากกว่าจุดแวะพักแห่งอื่นๆ รองรับกลุ่มนักเดินทาง
"ตลาดยังมีช่องว่างในการให้บริการจากที่ปัจจุบันจุดแวะพักมีเพียงสถานีบริการน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการลงทุนโครงการพอร์โต้ชิโน่ เป็นจุดแวะพักเดินทางนำร่องในย่านพระราม 2 มีการทำการตลาดและสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ที่แข็งแกร่ง"
โดยภายในเดือน ธ.ค.นี้ เตรียมเปิดตัวโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ พอร์โต้โก แห่งแรก ริมถนนสายเอเชียทำเลบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ในปีหน้าบริษัทเตรียมขยายโมเดลธุรกิจไลฟ์สไตล์มอลล์ พอร์โต้โก บนเส้นทางพระราม 2 อีก 1 แห่ง เสริมจากพอร์โต้ชิโน่ คาดเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3
5 ปีปูพรม 20 แห่ง
การลงทุนธุรกิจไลฟ์สไตล์มอลล์ เป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ สร้างรายได้เพิ่มจากเดิมที่มีรายได้หลักจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า เปิดบริการพอร์โต้โก 20 แห่ง ในทำเลรอบกรุงเทพฯ รัสมี 50 กิโลเมตร ครบ 4 มุมเมือง รวมถึงเส้นทางท่องเที่ยวในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นโซนที่ดี-แลนด์ มีการลงทุนหลัก
พอร์โต้โก ไลฟ์สไตล์มอลล์ พัฒนาบนที่ดินประมาณ 20 ไร่ แต่ละแห่งลงทุน 400 ล้านบาท โดยเน้นประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่เน้นคืนทุนเร็ว ภายใน 4 ปี เทียบ พอร์โต้ชิโน่ ใช้เวลาคืนทุน 8 ปีเนื่องจากการลงทุนสูงกว่า หรือประมาณ 500 ล้านบาท
ในระยะสั้นภายใน 1-2 ปีสัดส่วนรายได้จากการให้เช่าพื้นจะเพิ่มเป็น 10% หากขยายพอร์โต้โก ได้ตามแผน 20 แห่งตามเป้าหมาย สัดส่วนรายได้นี้จะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 10% แน่นอน
มุ่งลงทุนเกาะแนวอีอีซี
นายเพิ่มเกียรติ กล่าวต่อว่า ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ 1,200 ล้านบาท เป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้มีจำนวนยูนิตในสต็อกคงค้างราว 350 ยูนิต ปีนี้คาดการณ์เติบโตในเชิงยอดขาย 10% แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกยังทำให้การเติบโตชะลอลงต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
"ประเมินว่าจะฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้เพราะแนวโน้มของอุตสาหกรรมหลักในประเทศ เช่น การส่งออกมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งบริษัทยังคงวางแนวคิดการสร้างโครงการเสร็จพร้อมขายมีระยะเวลาการขายเฉลี่ย3เดือนก่อนปิดโครงการ"
ด้านการลงทุนยังโฟกัส3โซนหลัก ได้แก่ ศรีราชา ระยอง และบางบัวทอง-นนทบุรี แต่จะมุ่งเน้นการลงทุนในศรีราชาและระยองมากขึ้น รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่จะเพิ่มขึ้นตามการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ที่คาดว่าจะมีประชากรต่างถิ่นที่มาทำงานเพิ่มอีกราว 20%
นับตั้งแต่ปี 2558 เริ่มเข้าพัฒนาโครงการแล้ว4โครงการมูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาทแบ่งเป็น3โครงการแรกในศรีราชาและมีโครงการล่าสุดที่อ.ปลวกแดงที่เปิดเฟสแรกก่อนด้วยที่พักแนวราบอยู่บนพื้นที่50ไร่และยังมีพื้นที่อีก50ไร่สำหรับพัฒนาเฟสต่อไป
การลงทุนเพิ่มเติมในระยองเนื่องจากยังเห็นความต้องการของผู้ที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโดยวางตำแหน่งราคาบ้านราว 1.9-2.3 ล้านบาท
ขณะที่ในตลาดปัจจุบันไม่มีผู้เล่นรายใหญ่เข้าไปพัฒนาโครงการเลยจึงเป็นความได้เปรียบของกลุ่มที่เข้าไปพร้อมกับการลงทุนที่อยู่อาศัยที่มีคอนเซปต์ขณะที่จำนวนอุปทานที่คงค้างในตลาดของผู้ประกอบการทุกรายมีราว 3,000 ยูนิต
"เห็นการเติบโตของอีอีซีอย่างมากโดยเฉพาะราคาที่ดินในศรีราชาที่ราคาปรับตัวจากปี 2558 ที่เข้าไปบุกตลาดแล้ว 30-40% ขณะที่ทำเล อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ที่เคยซื้อขายกันไร่ละ 3 ล้านบาท ตอนนี้เพิ่มเท่าตัวเป็น 6 ล้านบาท"
เนื่องจากมีการจับจองเพื่อรองรับการเติบโตของอีอีซีเพิ่มขึ้นในอนาคตจึงยังมีแผนทำโครงการใหม่ที่โซนนี้ต่อเนื่องและคาดว่าโอกาสทำรายได้จากโครงการในโซนนี้จะครองสัดส่วนได้ถึง50%เทียบรายได้จากทุกทำเลแต่การลงทุนในย่านมหาชัยที่เคยเป็นทำเลหลักจะชะลอไปชั่วคราวเพราะยังมีผลกระทบจากอุตสาหกรรมประมงและแรงงานต่างด้าว
ส่วนโครงการย่านบางกรวย-ไทรน้อยมีที่ดินพร้อมพัฒนาอีก 2 แห่งราว 70 ไร่ คาดว่าจะมีเปิดตัวโครงการใหม่ได้ราวไตรมาส 2 ปี2561
นอกจากนั้น ยังวางแผนการเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 ด้วยหลังจากที่ดำเนินธุรกิจมากว่า15ปีและมี 25 โครงการที่พัฒนาแล้ว