แสนสิริ เขย่าคู่แข่ง ผนึก โตคิว บุกอสังหาฯ
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายเปิดเกมรุกทางธุรกิจด้วยการจับมือ "พันธมิตร ต่างชาติ" ในการขยายตลาด ไม่ว่าจะ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมทุนกับ ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) มุ่งพัฒนาโครงการแนวรถไฟฟ้า หรือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผนึก โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จากญี่ปุ่น ล่าสุด ยักษ์ใหญ่ไทย-ญี่ปุ่น "แสนสิริ" จับมือ "โตคิว คอร์ปอเรชั่น" ร่วมกันบุกตลาดไทย
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ ได้ร่วมทุนกับ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาและให้บริการระบบรถไฟเขตชานเมืองโตเกียว และอสังหาฯ ประเทศญี่ปุ่น โดยจัดตั้ง บริษัท สิริ ทีเค วัน จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในไทย โดยแสนสิริ ถือหุ้น 70% โตคิวฯ 29% และ บริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด 1%
เบื้องต้นร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ ทากะ เฮาส์ (taka HAUS) สุขุมวิท-เอกมัย มูลค่า 2,000 ล้านบาท บนที่ดิน 4 ไร่ 2 อาคาร ความสูง 8 ชั้น จำนวน 269 ยูนิต ขนาดห้อง 30 -71.5 ตร.ม. แล้วเสร็จปี 2562
การผนึกความร่วมมือครั้งนี้ แสนสิริ จะได้โนว์ฮาวทางด้านการทำตลาดและการขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลักดันยอดขายจากฐานลูกค้าต่างชาติเติบโตตามเป้าหมายมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปีนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% จากยอดขายรวม 40,000 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายลูกค้าต่างชาติ 4,000 ล้านบาท
"โตคิวฯ จะช่วยให้ความรู้และทำตลาดลูกค้าญี่ปุ่น รวมไปถึงแนวทางพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าญี่ปุ่นตั้งแต่การเลือกวัสดุ การบริการ การสร้างแบรนด์ของแสนสิริก้าวสู่องค์กรอินเตอร์เนชั่นแนลมากขึ้น"
พันธมิตรโตคิวฯ จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ที่มีแนวคิดเรื่องชาตินิยมสูง การเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ที่มีแบรนด์ หรือองค์กรญี่ปุ่นเข้ามาเชื่อมโยงหรือร่วมทุนพัฒนาสินค้าด้วยก็จะช่วยสร้างความมั่นใจ ไว้วางใจ นำสู่การตัดสินใจซื้อของลูกค้าญี่ปุ่นมากขึ้น
โตคิวฯ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาและบริการระบบรถไฟในเขตชานเมือง
โตเกียว รวมถึงพัฒนาเมืองและอสังหาฯ ที่หลากหลาย จะเป็นแนวทางให้แสนสิริศึกษา "วิธีคิด" การพัฒนาเมือง การสร้างไลฟ์สไตล์ต่างๆ
บริษัทยังมองถึงความร่วมมือระยะยาว จากการที่โตคิวฯ เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น มีฐานกลุ่มธุรกิจที่กว้างขวางที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาฯ ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการประสานให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน อาทิ การที่โตคิว คอร์ปอเรชั่น มีฐานลูกค้าที่จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ "แสนสิริ" ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น
สิ่งที่สำคัญคือ ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ตรงกันในด้านการนำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย โดยโตคิว กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ อาทิ โครงการ Tokyu Tama Denen-Toshi พื้นที่กว่า 5,000 เฮกตาร์ ในเขตเขาTama ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว ซึ่งเชื่อมต่อ 4 เมืองใหญ่ ทั้ง Kawasaki, Yokohama, Machida และYamato โดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางโตเกียว 15-30 กิโลเมตร
ปัจจุบันนับเป็นโครงการพัฒนาเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน รวมถึงยังมี โปรเจคการพัฒนา"ย่านชิบูย่า"ให้เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซิตี้ แลนด์มาร์คแห่ง ความบันเทิงที่ครบวงจรมากขึ้นในอนาคต
"อนาคตกรุงเทพฯ จะคล้ายเมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นคลัสเตอร์/ดิสทริค หรือเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการเลือกคลัสเตอร์ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพ
ชั้นในเหมือนปัจจุบัน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบ การจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือคลัสเตอร์จะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนน"
จะเห็นว่า กรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัย ที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆ อีกมาก ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคต
โทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการและ เจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส ผู้จัดการบริหารทั่วไปสำนักงานใหญ่ธุรกิจ ต่างประเทศ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แสนสิริ มีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงกับบริษัท โดยเฉพาะการพัฒนา
โครงการที่ช่วยสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัย และแสนสิริก็มีประสบการณ์ พัฒนาอสังหาฯ ในไทยมายาวนาน ทั้งยังสนใจการขยายตัวของสังคม เมืองในไทยที่ต้องการที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเกิดโครงข่ายคมนาคมรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เกิดการเดินทางและการมองหาที่อยู่อาศัยโซนดังกล่าวมากขึ้น
"เป็นสิ่งที่โตคิวฯ ถนัดและคิดว่าจะนำเสนอโซลูชั่นส์กับการใช้ชีวิตในเมืองได้ เราสนใจที่จะทำอีกหลายโครงการในไทย"
ประเทศไทย เป็นจุดศูนย์รวมของระเบียงเศรษฐกิจหลายด้าน และยังเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำให้เกิดมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วยการผลักดันของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และเป็นประเด็นที่จะนำมาซึ่งอุปสงค์ทางด้านที่อยู่อาศัย