ESTARชี้ครึ่งปียอดขาย600ล้าน โชว์แบ็กล็อก 1.8 พันล้าน บุ๊คปีนี้ 1 พันล้าน
ESTAR เผยครึ่งปีแรกโชว์ยอดขาย 500-600 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีนี้ทำได้ตามเป้า 1,000 ล้านบาท โชว์แบ็กล็อก 1,700-1,800 ล้านบาท จ่อรับรู้รายได้ปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท กางแผนครึ่งปีหลังถึงต้นปีหน้าเล็งเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท
ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2560) บริษัทมียอดขายประมาณ 500-600 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดขายทั้งปี 2560 จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ราว 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอการขายมีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จาก 8 โครงการ ทั้งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและที่รอการก่อสร้าง
สำหรับแผนครึ่งปีหลังต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมีสินค้าที่ขายไปแล้วรอการรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,700-1,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้รายได้ในปีหน้า โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากสินค้าคอนโดมิเนียมประมาณ 90% และบ้านเดี่ยวประมาณ 10%
ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายที่จะปรับสัดส่วนยอดขายและยอดรายได้จากที่อยู่อาศัยในแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ รวมทั้งคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อให้รายได้ของบริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแรงและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังให้ความสำคัญกับตลาดคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์อยู่ แต่การพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์นั้นใช้เวลาก่อสร้างนานกว่าเม็ดเงินลงทุนจะกลับมาเป็นรายได้ จึงต้องมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแนวราบและคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่สร้างเสร็จและกลับมาเป็นรายได้เร็วกว่าเข้ามาเสริม
ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดในครึ่งปีแรกว่า ในช่วงไตรมาส 1/2560 มีความคึกคัก เป็นผลมาจากไตรมาส 4/2559 ที่ตลาดชะลอตัวไปทำให้ยอดขายรวมในตลาดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาส 2/2560 โครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-2 แสนบาทต่อตารางเมตรขายดีในเขตไพร์มแอเรีย รวมทั้งตลาดทาวน์เฮ้าส์ก็มีความคึกคักขึ้นแต่ตลาดบ้านเดี่ยวซึมๆ ไป
ส่วนทิศทางตลาดในครึ่งปีหลังของปีนี้ ผู้ประกอบการมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3/2560 เป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมระดับบนเป็นตัวทำตลาด เนื่องจากตลาดระดับล่างยังมีความไม่แน่นอนจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งภาพรวมแล้วน่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน และน่าจะกลับมาคึกคัก
นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2561 หากพิจารณาถึงปัจจัยบวกที่จะมีในครึ่งปีหลังแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของจีดีพีที่มีการประเมินว่าจะดีกว่าปีก่อน รวมทั้งการส่งออกด้วย และเมกะโปรเจ็กต์ที่จะเกิดขึ้นกับโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่วนปัจจัยลบยังคงเป็นเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่โตไม่ทันและปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)