DIGIปรับกลยุทธ์ชู3ธุรกิจหลัก ลุยตลาดออนไลน์-ธุรกิจอสังหาฯ
“DIGI” เตรียมปรับกลยุทธ์ชู 3 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจ E-Payment และ E-Commerce ตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำด้าน Digital Online มองตลาดออนไลน์ในไทยโตปีละ 40% ฟากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดปิดขายคอนโดมิเนียม มูลค่า 2,000 ล้านบาทภายในปีนี้
นายจิรภัทร วีรชยทองคำ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ DIGI กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท และสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับธุรกิจ E-Payment และ E-Commerce ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมา โดยธุรกิจนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดยตลาดออนไลน์ในประเทศไทยในปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือมีการเติบโตกว่า40% ต่อปี
ทั้งนี้ ยังเป็นเทรนด์ของสังคมโลกทุกวันนี้ ที่มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันสู่สกุลเงินดิจิตอล ซึ่งให้ทั้งความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากกว่า โดยโครงสร้างรายได้ของบริษัทในปี 2560 จะมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย E-Payment, E-Commerce และอสังหาริมทรัพย์
ขณะนี้บริษัทได้รุกตลาด Payment เต็มรูปแบบ พร้อมจับมือกับพันธมิตรอย่าง Tencent บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศจีนผู้ให้บริการ WeChat Pay ซึ่ง ณ ปัจจุบันได้เปิดให้บริการในประเทศไทยแล้วในหลายร้านค้าขนาดใหญ่รวมไปถึงโรงแรมชั้นนำ โดยรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมบริการเฉลี่ย 1.50-2% ของทุกๆ ยอดซื้อ ผ่านการใช้จ่ายผ่านระบบ QR Code โดยปัจจุบันมีร้านค้าที่เข้าร่วมใช้บริการกว่า 3,000 ร้านค้า และตั้งเป้าให้ครบ 10,000 ร้านค้าภายในสิ้นปีนี้
อีกทั้งในปี 2560 นี้ บริษัทเตรียมเปิดตัว E-Wallet หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ ระบบแรกในประเทศไทยที่เป็นรูปแบบ Digital Point Exchange ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถนำ Point จากบัตรเครดิตต่างๆ ที่มีมารวมกันไว้ในที่เดียว พร้อมสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าหรือบริการต่างๆ ได้ดั่งใจ เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่ามือถือ, ค่าทางด่วน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในธุรกิจการให้บริการอื่นๆ ต่อไป
นายจิรภัทร กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีอาคารสำนักงานให้เช่าบริเวณ รามคำแหง-พระรามเก้า พื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตร โดยค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 400 บาทต่อตารางเมตร รวมโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังอยู่ระหว่างการขายซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายในปีนี้
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะทำให้การดำเนินงานของบริษัทมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และการอิงไปกับอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ในปัจจุบันจะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว