อสังหาฯ รับมือตลาดติดลบ 10% ชี้ LTV-เศรษฐกิจ กดดันกำลังซื้อ
Loading

อสังหาฯ รับมือตลาดติดลบ 10% ชี้ LTV-เศรษฐกิจ กดดันกำลังซื้อ

วันที่ : 16 พฤษภาคม 2562
ศูนย์ข้อมูลฯคาดภาคอสังหาฯปีนี้เติบโตลดลงร้อยละ 10 รับผลมาตรการ LTV และเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว เผย 4 เดือนแรกยอดเปิดโครงการทั้งคอนโดฯ-บ้านจัดสรร ปรับลดลง ขณะที่หน่วยเหลือขายสิ้นปี 61 กว่า 1.54 แสนหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 อาคารชุด เหลืออื้อ ส่อง 5 ทำเลเด่นยอดขายร้อนแรง
          ศูนย์ข้อมูลฯคาดภาคอสังหาฯปีนี้เติบโตลดลงร้อยละ 10 รับผลมาตรการ LTV และเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว เผย 4 เดือนแรกยอดเปิดโครงการทั้งคอนโดฯ-บ้านจัดสรร ปรับลดลง ขณะที่หน่วยเหลือขายสิ้นปี 61 กว่า 1.54 แสนหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 อาคารชุด เหลืออื้อ ส่อง 5 ทำเลเด่นยอดขายร้อนแรง

          ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในงานสัมมนา "วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯปริมณฑลและจังหวัดอยุธยา-สระบุรี ปี 2562"  คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ จะขยายตัวลดลงประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเร่งทำการโอน ผู้ซื้อเร่ง ตัดสินใจซื้อเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

          ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดจากการสำรวจพบว่า ในช่วง 3 เดือนแรก การเปิดโครงการใหม่ ลดลงประมาณร้อยละ 10 และต้องรอดูสถานการณ์จากนี้จะเป็นอย่างไร

          พร้อมได้จัดทำรายงานสรุป ผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัย ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประเมินว่า อุปทานเหลือขาย ที่อยู่อาศัยในตลาด ณ ปี 2562 ประมาณ 150,333 หน่วย แยกเป็นบ้านจัดสรรมีประมาณ 84,469 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 56.2 อาคารชุดมีประมาณ 65,864 หน่วย มีหน่วยมากที่สุด คิด เป็นร้อยละ 43.8 รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ร้อยละ 31.4 บ้านเดี่ยวร้อยละ 17.1 ที่เหลือเป็นบ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ หากรวมอุปทานเหลือขายของ กทม.ทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดจะมากที่สุดมีประมาณ 66,532 หน่วย

          สำหรับตัวเลขในช่วง 4 เดือนแรกของปี 62 (ม.ค.-เม.ย.) มีเปิดใหม่ทั้งบริษัทจดทะเบียนและบริษัทนอกตลาดหลัก ทรัพย์ จำนวน 51 โครงการ จำนวน 8,127 หน่วย ซึ่งทั้งจำนวนโครงการและหน่วยที่ ออกมาลดลงร้อยละ 14.3 และร้อยละ 17.3 ตามลำดับ

          ระดับราคาที่มีหน่วย เปิดขายมากที่สุด จะต่ำกว่า 5 ล้านบาท จนไปถึง 1 ล้านบาท รวม 5,394 หน่วยคิดเป็นร้อยละ 50.66 ของหน่วยเปิดใหม่ที่ 8,127 หน่วย ขณะที่กลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีเปิดขาย 1,009 หน่วย จะอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี เท่านั้น

          พื้นที่ซึ่งมีหน่วยบ้านจัดสรรมากที่สุด ได้แก่ หลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน จำนวน 1,079 หน่วย รองลงเป็น บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย 897 หน่วย เป็นต้น โดยกลุ่มทาวน์เฮาส์ มีการเปิดตัวมากที่สุด 4,899 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 60.3 รองลงมาเป็น บ้านเดี่ยว 2,491 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 30.7

          ขณะที่สถานการณ์ตลาดห้องชุดเปิดขายใหม่ พบว่า 4 เดือนแรกมี 35 โครงการ จำนวน 12,801 หน่วย ลดลงร้อยละ 10.3 และร้อยละ 23.4 ตามลำดับ ซึ่งประเภทที่มีการพัฒนา และเปิดขายห้องชุดจะเป็นแบบ 1 ห้องนอน รวม 9,626 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 75.2 พื้นที่ ซึ่งมีการเปิดขายใหม่มากที่สุด ได้แก่ ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 1,933 หน่วย, ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 1,720 หน่วย, สุขุมวิท 1,537 หน่วย, คลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง จำนวน 1,377 หน่วย และพระโขนง- บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 1,373 หน่วย

          ฉายภาพครึ่งหลังปี 61 สะท้อนตลาดอสังหาฯปี 62

          จากการสำรวจพบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 1,597 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 492,436 หน่วย จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 7.7 มีมูลค่าโครงการรวม 1,977,836 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 1,088 โครงการ มีหน่วยในผังจำนวน 207,216 หน่วย จำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 2.6 มีมูลค่าโครงการรวม 925,579 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 509 โครงการ มีหน่วยในผังจำนวน 285,220 หน่วย จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 16.8 มีมูลค่าโครงการรวม 1,052,257 ล้านบาท

          ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวว่า จากการสำรวจในช่วงครึ่งหลังปี 2561 มีหน่วยเหลือขายจำนวน 154,765 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 โดยโครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือขาย 86,113 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 ส่วนโครงการอาคารชุด มีหน่วยเหลือขาย 68,652 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3

          ภาพรวมอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งหลังปี 2561 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด  มีอัตราการดูดซับของ ที่อยู่อาศัยโดยรวมร้อยละ 4.8 ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับร้อยละ 4.6  โดยบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.1 ต่อดือน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.5 และอาคารชุดมีอัตราดูดซับร้อยละ 6.5 ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับร้อยละ 5.8

          โดยโครงการบ้านจัดสรร ที่อยู่ในระหว่างการขายในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 1,088 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน 207,216 หน่วย มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 86,113 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 388,600 ล้านบาท (เทียบกับในช่วงครึ่งหลังปี 2560 มีจำนวน 1,135 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการ 212,780 หน่วย และ มีหน่วยเหลือขาย 80,398 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 339,612 ล้านบาท)

          ทั้งนี้  ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.5 เป็นทาวน์เฮาส์ รองลงมา ร้อยละ 30.6 เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 12.2 เป็นบ้านแฝด ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า เมื่อแยกตามระดับราคา อยู่ในช่วง 3.01-5.00 ล้านบาท รองลงมา ร้อยละ 29.0 อยู่ในช่วงราคา 2.01-3.00 ล้านบาท ร้อยละ 24.2 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป และร้อยละ 13.2 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท

          ส่อง 5 ทำ เลบ้านจัดสรร-อาคารชุดขายดี

          ทำเลบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) สีลม- สาทร-บางรัก  2) ทำเลหลักสี่ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน 3) ทำเลพระโขนง-บางนาสวนหลวง-ประเวศ  4) ทำเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอกลาดกระบัง 5) ทำเลลาดพร้าววังทองหลาง-บางกะปิ

          ทำเลบ้านจัดสรรในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทำเลเมืองสมุทรสาคร  2) ทำเลบางพลีบางบ่อ-บางเสาธง 3) ทำเลพุทธมณฑล-นครชัยศรี-สามพราน 4) ทำเลเมืองสมุทรปราการพระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5) ทำเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว

          โครงการอาคารชุด ที่อยู่ ในระหว่างการขายในกรุงเทพฯปริมณฑล มีจำนวน 509 โครงการ มีหน่วยเหลือขาย หรือเป็นอุปทานในตลาด 68,652 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วย เหลือขายเพิ่มขึ้นเป็น 260,856 ล้านบาท

          ทั้งนี้ หน่วยในผังโครงการทั้งหมด 285,220 หน่วย ส่วนใหญ่ร้อยละ 69.5 เป็นห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน รองลงมาร้อยละ 18.1 เป็นห้องแบบ สตูดิโอ และร้อยละ 11.8 เป็นแบบสองห้องนอน ที่เหลือ เป็นแบบสามห้องนอนขึ้นไป เมื่อแยกตามระดับราคา หน่วยในผังโครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 33.0 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ร้อยละ 28.9 อยู่ในช่วงราคา 2.01-3.00 ล้านบาท ร้อยละ 19.6 อยู่ในช่วงราคา 3.01-5.00 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 18.5 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท

          ทำเลอาคารชุดในกรุงเทพฯที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1) ทำเลสีลม-สาทร-บางรัก 2) ทำเลคลองสามวา-มีนบุรีหนองจอก-ลาดกระบัง 3) ทำเลบางซื่อ-ดุสิต 4) ทำเลบึงกุ่ม-คันนายาว-สะพานสูง 5) ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ

          ทำเลอาคารชุดในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1) ทำเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว 2) ทำเลเมืองปทุมธานีลาดหลุมแก้ว-สามโคก 3) ทำเลเมืองนครปฐม-กำแพงแสน-บางเลน-ดอนตูม 4) ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5) ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด
 
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ