ปี 2562 ที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิ เนียมในกรุงเทพฯ ค่อนข้างชะลอตัว เช่นเดียวกับในหัวเมืองสำคัญหลายแห่งอย่าง พัทยา, หัวหิน และภูเก็ต โดยอัตราการ ครอบครองคอนโดกรุงเทพฯ จากสิ้นปี 2561 ปรับลดลงไป 15-20% ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ผลมาจากเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะมีโครง การเมกะโปรเจคท์จากรัฐบาลพัฒนาอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ก็ตาม

          นอกจากนี้กลุ่มผู้ซื้อชาวไทยที่ลงทุนในตลาดอสังหาฯ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาชะลอการลงทุน เนื่องจากตลาดผู้ซื้อถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ทำให้การลงทุนจากต่างชาติลดลงอีกด้วย

          มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่ พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า "อัตรายอดขายในปัจจุบัน ไม่เหมือนกับในช่วง  2-3 ปีก่อน โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนชาวจีน ซึ่งเป็นชาติ ที่มักไปลงทุนอสังหาฯ ในต่างประเทศ และการโอนเงินจำนวนมหาศาลนั้นออกนอกประเทศอาจทำให้กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศจีนได้ ดังนั้นจีนจึงออกกฎข้อบังคับที่เข้มงวด ด้านการโอนเงินเพื่อการลงทุนส่วนบุคคล ในขณะที่ชาวจีนที่อาศัยอยู่นอกประเทศจีนมักจะซื้อทรัพย์สินและลงทุนในที่ที่พวก เขาจะได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด"

          ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมกำลังซบเซา ในทางตรงกันข้าม ตลาดรีเซล มีแนวโน้มปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า (BTS) และรถไฟใต้ดิน (MRT)เช่นในย่านศูนย์กลางธุรกิจและย่านสุขุมวิท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการคอนโดฯ และโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่ายังคงมีอยู่อีกทั้งการชะลอตัวในตลาดอสังหาฯ จะทำให้นักลงทุนได้รับข้อเสนอที่ดี เช่น ข้อเสนอส่วนลด ซึ่งทำให้ได้รับกำไรส่วนต่างที่มากขึ้น

          เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาและปัจจัยโดยรวมต่าง ๆ ข้างต้น รวมถึงจำนวนอุปทาน ที่ล้นตลาดส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ จะยัง คงชะลอตัวในปี 2563 และจะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักพัฒนาโครงการฯ พวกเขาควรปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 35-40 ปี ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ และความสะดวกสบาย เช่น สมาร์ทลิฟวิ่ง (smart living) และคำนึงถึงโครงสร้าง พื้นฐานในบริเวณนั้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อได้ดี นอกจากนี้ราคาโปรโม ชั่น ที่น่าสนใจย่อมดึงดูดนักลงทุนที่รอคอยโอกาสในการลงทุน