KUN บุกพัฒนาต่อยอดธุรกิจอสังหาแนวราบ เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่า รวมกว่า 2.3 พันล้านบาท เล็งปักหมุดขยายการลงทุนทิศที่ 3 ย่านปริมณฑลกลางปีนี้ ด้าน CEO  "ประวีรัตน์ เทวอักษร" ส่งซิกภาพรวมอสังหาแนวราบ มีความต้องการเพิ่มขึ้น หนุนปี 63 ส่อแววผลงานทุบสถิตินิวไฮต่อ

          นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทโครงการแนวราบในปี 2563 ยังคงมีอัตราการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแข่งขัน ด้านกลยุทธ์ทางการตลาด โดยอัดแคมเปญโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม มากขึ้น

          ความต้องการบ้านเพิ่ม

          ทั้งนี้เชื่อว่าในปี 2563 จะเห็นมีผู้ประกอบการอสังหา ทั้งรายใหม่ และรายเดิม หันมามุ่งเน้นการพัฒนาอสังหา ประเภทโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพราะจากสถิติจะเห็นได้ว่าลูกค้าในกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) และลูกค้าในกลุ่มนี้ยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าอสังหา แนวราบ ที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีความต้องการสูง

          ด้วยวิสัยทัศน์ (Vision) ของบริษัทที่มีความตั้งใจจะขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อขาย ภายใต้แบรนด์ "คุณาลัย" ให้ครบ 4 ทิศ รอบกรุงเทพฯ (เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก) เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ดังนั้นในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยแนวราบ ภายใต้แบรนด์ "คุณาลัย" ไปในทิศที่ 3 ของกรุงเทพฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและศึกษาในโซนเหนือและใต้ของกรุงเทพฯ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงไตรมาส 3/2563 นี้

          ยอดขายทยอยเข้า

          ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในโซนใหม่ๆ เข้ามาเสนออย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทต้องระมัดระวัง และใช้เวลาในการพิจารณาตัดสินใจ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริโภคและผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการใน 2 ทิศรอบกรุงเทพฯ ได้แก่ ทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ คือในโซนพื้นที่บางบัวทอง ซึ่งบริษัทมีความชำนาญ และทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ คือในโซน จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นทิศใหม่ที่บริษัทมีการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ภายใต้โครงการคุณาลัย จอย ออน 314 ในช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา

          โดยโครงการดังกล่าวได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยจะเห็นได้จากยอดขายที่ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมียอดขาย (Presale) แล้ว จำนวน 20 ยูนิต โดยมีการส่งมอบตั้งแต่ ช่วงปลายปี 2562 แล้วจำนวน 7 ยูนิต ส่วนอีก 13 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท จะส่งมอบภายใน ปี 2563 โดยโครงการดังกล่าวจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1/2563 และในอนาคตบริษัท ยังมีแผนขยายโครงการในบริเวณโซนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

          "บริษัทมองว่าทำเลดังกล่าว มีศักยภาพอัตราการเติบโตและมีความต้องการแหล่งที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับย่านบางบัวทอง ประกอบยังเป็นเขตพื้นโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นแหล่งยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งทิศที่จะเติบโตในอนาคต" นางประวีรัตน์กล่าว

          กางกลยุทธ์ปี 63

          สำหรับทิศทางและแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี 2563 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KUN กล่าวว่า บริษัทมีแผนขยายโครงการใหม่ๆ เพิ่ม เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตโดยในปีนี้บริษัท ตั้งเป้าหมายจะเปิดโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการ คุณาลัย บีกินส์ 2 ซึ่งเป็นโครงการประเภททาวน์โฮม รวม 363 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท จะเปิดการขายอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2/2563 และ 2. โครงการคุณาลัยจอย 2 ซึ่งเป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว 2 ชั้น รวม 420 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยจะเปิดการขายอย่างเป็นทางการ ภายในไตรมาส 3/2563 ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะเป็นโครงการที่สร้างเสร็จบางส่วนก่อนเปิดการขายอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นหลังการขาย

          ส่วนประมาณการแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563นั้น บริษัทคาดการณ์ว่าภาพรวมผลการดำเนินงานมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการประเมินการเติบโตคาดว่า KUN จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมาจากการส่งมอบโครงการแนวราบในพื้นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีเป็นหลัก และในปี 2563 นี้ จะมีการทยอยส่งมอบโครงการคุณาลัย จอย ออน 314 ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เข้ามาสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น

          แบ็กล็อก 130 ล้าน

          นอกจากนี้บริษัทได้ประเมินรายได้รวมในปี 2563 จะเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อน ซึ่ง ณ สิ้นปี 2562 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องภายในปี 2563 ทั้งหมด ทั้งนี้ จะมียอด Backlog ใหม่ๆ เข้ามาทดแทนยอด Backlog ที่มีการรับรู้ไป จากการขายโครงการที่มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและขาย (สต๊อก) มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท จากโครงการทั้งหมด ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปี 2563-2564