หนี้ครัวเรือนทะยานฟาดตลาดอสังหาปี66ทรุดยาว

          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากปัจจัยดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ทำให้กำลังซื้ออ่อนแอ ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังสูง ส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ประกอบกับมาตรการผ่อนคลาย LTV ที่สิ้นสุดลง ทำให้ผู้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 และ 3 ต้องมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในการวางเงินดาวน์ถึง 10-20% ของราคาที่อยู่อาศัย รวมไปถึงราคาที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะ ปรับขึ้น 5-10% ในรูปของส่วนลดและของแถมน้อยลง ยิ่งทำให้ กำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแอลง

          ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ในปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปี 2565 ทั้งในแง่จำนวนหน่วยการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 10.2% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 4.5% เป็นผลจากเมื่อปีที่ผ่านมาตลาดมีการฟื้นตัวสูงกว่า ปีก่อนหน้าถึง 94% หรือมีหน่วยการเปิดตัวใหม่ 100,269 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 51,635 ยูนิต เพิ่มขึ้น 145.3% และโครงการบ้านจัดสรร 48,634 หน่วย เพิ่มขึ้น 59.6% ส่วนยอดโอนกรรมสิทธิ์ ทั่วประเทศในปีที่ผ่านมามีจำนวน 392,858 ยูนิต เพิ่มขึ้น 14.3% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 285,731 ยูนิต เพิ่มขึ้น 12.6% และคอนโดมิเนียม 107,127 ยูนิต เพิ่มขึ้น 19.2% ด้านมูลค่าการโอนทั่วประเทศประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 776,523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% ส่วนคอนโดมิเนียม 288,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3%

          ในส่วนของตลาดลูกค้าต่างชาติโดยช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2565 พบว่าต่างชาติที่เคยซื้อไว้กลับมาโอนกรรมสิทธิ์มากขึ้นทำให้มี ยอดโอนฯ กลับมาใกล้เคียงก่อนโควิดแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการเข้ามาซื้อของต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและตัดสินใจ ทั้งนี้หากภาครัฐมีสามารถดึงดูดด้วยการเสนอให้วีซ่าระยะยาวให้ต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้เทียบเท่ากับประเทศ เพื่อนบ้านได้ก็มีโอกาสให้ชาวจีนตัดสินใจซื้ออสังหาฯไทยได้ ยิ่งกว่านั้น ชาวจีนที่ซื้อช่วงก่อนเกิดโควิดที่ซื้อเพื่อลงทุน แต่รอบนี้ จะเป็นชาวจีนที่มีฐานะซึ่งจะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง

          "ในปี 2565 พบว่ามีการขยายตัวของยอดโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้จากแรงกดดันที่เกิดจากการที่จะสิ้นสุดการผ่อนปรน LTV ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าสู่ขาขึ้น และค่าธรรมเนียมการโอนที่ลดลงทำให้มีการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2565 ซึ่งเป็นการดึงจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคตมา และอาจส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีแรกปีนี้ชะลอตัวลงได้ ดังนั้น จึงอาจทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มีโอกาสลดลง"