เอกชนชงกกต.ออกกฎ ห้ามหาเสียงขึ้นค่าแรง
Loading

เอกชนชงกกต.ออกกฎ ห้ามหาเสียงขึ้นค่าแรง

วันที่ : 2 มิถุนายน 2566
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า การที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงเช่นนี้ ย่อมต้องมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาพอสังหาฯ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการจะมีต้นทุนทางการเงินในการลงทุนเพิ่ม
          โวยบริษัทจ่ายรัฐไม่เกี่ยว เศรษฐาชี้ทุนหนีเหตุอื่น เอสเอ็มอีพบพิธา13มิย.

          'เศรษฐา'โต้เจ้าสัวขึ้นค่าแรงไม่เกี่ยวทุนหนี มีปัจจัยอื่น 'อีคอนไทย' ชง กกต.ออกกฎเหล็กห้ามพรรคการเมือง ชูนโยบายขึ้นค่าจ้างหาเสียง

          'พิธา' นัดถกเอสเอ็มอี13มิ.ย.

          เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับมติชนว่า ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมเศรษฐกิจของพรรค จะเดินทางมาที่สมาพันธ์ (ถนนประชาชื่น) เพื่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนและรับฟังถึงสถานการณ์เอสเอ็มอีและรับฟังแนวทางต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย โดยขณะนี้ทางสมาพันธ์อยู่ระหว่างการหารือภายในเพื่อเก็บข้อมูลและข้อเสนอของเครือข่ายเอสเอ็มอี ทั่วประเทศ ซึ่งในวันที่พบคณะนายพิธาก็จะมีประธานเอสเอ็มอีทุกภาคเข้าร่วมพูดคุยด้วย ทั้งนี้ ทางสหพันธ์จะมุ่งเน้นการเกิดปฏิบัติได้จริงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งในส่วนนี้มีจำนวนเอสเอ็มอีถึง 85% ที่เกี่ยวข้อง และขับเคลื่อน และเอสเอ็มอีคาดหวังหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง

          "ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีเราผลักดันมาตลอด ที่จะร่วมมือและให้รัฐบาลสนับสนุนและแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่ เพราะหากแก้ไขได้ตรงจุด จะมีส่วนผลักดันสัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอี จากไม่เกิน 35% ของจีดีพีประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านบาท ขณะที่จำนวน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีถึง 85% ให้สัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอีขยับเป็น 40-50% ในอนาคต อยากเสนอให้รัฐบาลใหม่นำการผลักดัน เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายร่วมกันของรัฐและเอกชนให้เกิดเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นทางสมาพันธ์ได้เตรียมกลไก 5 ประเด็นขึ้นมาหารือในครั้งนี้" นายแสงชัยกล่าว

          ยก5เรื่องฟื้นศก.ฐานราก

          นายแสงชัยกล่าวต่อว่า สำหรับ 5 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นหารือกับนายพิธาและทีมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.ขจัดปัญหาสะสมที่มีผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท เรื่องนี้มีผลกระทบและยังเห็นว่าไม่ถึงเวลาที่จะมีการปรับค่าแรงในอัตราสูงๆ ทันที ด้วยสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของเอสเอ็มอีรายย่อย ยังไม่ฟื้นตัวเท่าก่อนเกิดเชื้อโควิด-19 ระบาด ยังมีหนี้สะสมสูง ยอดประกอบการยังไม่นิ่ง และกำลังซื้อทั่วไปยังไม่คล่องตัว 2.เร่งแก้กฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัยและยังเป็นอุปสรรค ซึ่งวันนี้ยังมีขั้นตอนและใช้เวลามากต่อการจะยื่นขออนุมัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เกิดการทำธุรกิจ อยากให้รื้อระบบที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในระบบและนอกระบบ 3.สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหารายได้เข้าประเทศ ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาและลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักได้รับการคัดเลือกก่อน 4.ยกระดับสมรรถภาพและขีดความ สามารถเอสเอ็มอีและแรงงานภาคเอสเอ็มอี โดยส่งเสริมการเข้าถึงนวัตกรรม มาตรฐานสากล ออกระเบียบเอื้อการทำธุรกิจรายย่อยโดยตรง และหนุนการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม มาเสริมการทำงาน ที่จะมีผลดีต่อการลดต้นทุนในอนาคต

          นายแสงชัยกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 5.เร่ง ช่วยเหลือให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งทุน และมีการออกกลไกเฉพาะเพื่อช่วยเอสเอ็มอี เช่น จัดตั้งกองทุนใหม่ หรือปรับกองทุนเดิมที่มีอยู่ มาเพิ่มสัดส่วนให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึง ทดแทนที่เอสเอ็มอีต้องดิ้นรนหาแหล่งทุนนอกระบบหรือเข้าระบบนอนแบงก์ ที่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% จากในระบบ 7-12% อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้ง 5 ประเด็นดำเนินการโดยเร็วและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มปรับใน 5 เรื่องควบคู่กันไป คือ กำหนดนิยามเอสเอ็มอีให้เหมือนกัน เพราะวันนี้แต่ละหน่วยงานกำหนดนิยามเอสเอ็มอีที่แตกต่างกัน ทำให้การเข้าเงินทุนหรือความช่วยเหลือตามมาตรการรัฐหรือเอกชนแตกต่างและตรงจุดน้อย อยากให้ยึดนิยามเอสเอ็มอีของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จากนั้นให้กำหนดมาตรการและดัชนีชี้วัดของความช่วยเหลือที่ให้เอสเอ็มอีเพื่อนำไปปรับปรุงหรือต่อยอด ประการต่อมา คือ จัดสรรงบประมาณและพิจารณาโครงการใช้งบน้อยแต่ได้งานมาก ปรับวิธีและกำลังคนที่ให้เกิดงานที่รวดเร็วและโปร่งใส รวมถึงมี การเปิดเผยดัชนีชี้วัดการทำงานของทีมงานรับผิดชอบนั้นๆ เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานและผลงานที่จะเกิดขึ้น

          ไม่เอา 'รัฐบาลแห่งชาติ'

          "การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นเป็น 2% กระทบต่อภาระที่เพิ่มขึ้นของเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายย่อยสูงขึ้นในอีก ที่ตอนนี้หลายแสนรายก็ยังเข้า ไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ และต้องพึ่งพาเงิน นอกระบบต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นดอกเบี้ยมีผลต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อขยับขึ้นไปอีก ยังมีปัญหาสะสมเดิมอีก ทั้งต้นทุนพลังงาน ค่าไฟ วัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน ตลาดซื้อฝ้ด หนี้สูง ดังนี้อยากให้รัฐบาลใหม่ควรจะดีไซน์มาตรการที่จะพยุงเอสเอ็มอี ไม่แค่อยู่รอดแต่รอดแบบยั่งยืนด้วย เอสเอ็มอีไม่อยากแค่แลกเงินแต่อยากให้มั่นคงด้วย แน่นอนการอยากเห็น ตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ความไม่ชัดเจนและการตัดสินใจเดินหน้าต่อการทำธุรกิจ ไม่ชะงักนาน เศรษฐกิจและประเทศจะเสียหาย เรื่องแนวคิดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ส่วนตัวผม ไม่เห็นด้วย ระบอบประชาธิปไตย ต้องมีการถ่วงดุลของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อเกิดการตรวจสอบ ไม่ให้เป็นพวกเดียวกันหมดแล้วภาพเห็นแค่คนดีทั้งหมด ก็อาจไม่ได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้อย่างแท้จริงหรือรวดเร็วหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เอสเอ็มอีอยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ มากกว่าขัดแย้ง" นายแสงชัยกล่าว

          เอาผิดรายใหญ่แก้ทัวร์ทิพย์-ทิ้งลูกค้า

          นางศิริวรรณ พรเลิศวิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรฐานธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ประกอบการทัวร์นำเที่ยวขายแพคเกจทัวร์ แต่ไม่สามารถเที่ยวจริงได้ หรือทัวร์ทิพย์ รวมถึงลูกค้าซื้อแพคเกจท่องเที่ยวแล้วแต่ถูกทิ้งในระหว่างวันเดินทางจริงนั้น ได้มีการหารือแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมถึงไกด์ นำเที่ยวในรูปแบบนอมินี และขบวนการธุรกิจสีเทา โดยกรมการท่องเที่ยวมีแนวคิดที่จะต้องดึงบริษัททัวร์รายใหญ่หรือโฮลเซลเข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อให้สามารถหาผู้รับผิดชอบในกรณีเกิดปัญหาและสามารถดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายได้

          "มีการกำหนดประเภททัวร์ขึ้นมาใหม่จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 4 ประเภท ซึ่งอาจนิยามบริษัททัวร์นำเที่ยวที่ขายแพคเกจทัวร์ท่องเที่ยวให้กับบริษัทที่ทำทัวร์ด้วยกัน ว่าเป็นการประกอบธุรกิจนำเที่ยวภายในราชอาณาจักรและภายนอกราชอาณาจักร รวมถึงการประกอบธุรกิจจัดโปรแกรมนำเที่ยวให้กับ ผู้ประกอบการนำเที่ยวรายอื่น โดยหากธุรกิจนำเที่ยวใดเข้าข่ายก็จะจัดอยู่ในประเภทนี้ ซึ่งจะมีกำหนดเป็นกฎหมายจำเป็นที่จะต้องกำหนดวงเงินหลักประกัน และกำหนดบทลงโทษไว้ด้วย" นางศิริวรรณกล่าว

          นางศิริวรรณกล่าวว่า สำหรับบคุณสมบัติบริษัทโฮลเซล อาทิ ต้องมีประสบการณ์ ทำตลาดพาคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2-4 ปี ไม่ได้เป็นรายใหม่แล้วจะสามารถยื่นจดทะเบียนประเภทนี้ได้ ตามต้องการทันที โดยการยื่นขอจดทะเบียนจะต้องเป็นนิติบุคคล และต้องชำระเงินจดทะเบียนเต็มจำนวนเท่านั้น ซึ่งเป็นการกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท รวมถึงต้องมีหนังสือรับรองการซื้อที่นั่งเที่ยวบินจากสายการบินไม่ต่ำกว่า 3 สายการบิน คิดเป็นจำนวนที่นั่งไม่ต่ำกว่า 300 ที่นั่ง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปยังมิติผูกพันระหว่างผู้รับผิดได้

          นางศิริวรรณกล่าวว่า หากจะเขียนร่างโปรแกรมการขายแพคเกจทัวร์นำเที่ยว จะต้องระบุในบรรทัดสุดท้ายด้วยว่า "บริษัท บี ได้รับการส่งต่อจากบริษัท เอ เป็นต้น" เพื่อให้สามารถนำหลักฐานดังกล่าวไปฟ้องร้องหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ประกอบการรายแรกหรือรายใหญ่ต้นขั้วได้ หากเกิดปัญหาขึ้น ทั้งในลักษณะการขายทัวร์ที่ไม่ได้เที่ยวจริง หรือการถูกทิ้งระหว่างท่องเที่ยว แต่ข้อเสนอดังกล่าวนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือของสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ร่วมกับกรมการ ท่องเที่ยว เพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งว่าจากนี้จะดำเนินการอย่างไร และไปในทิศทางใด

          'แอตต้า' ชงเข้มใบอนุญาต

          นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า จากแนวคิดของภาครัฐที่มีแนวนโยบายที่จะดูแลตลาดโฮลเซลโดยตรงนั้น เบื้องต้นจะมีการรับฟังความคิดเห็นก่อนในการกำหนดขอบเขตของผู้ประกอบการทำตลาดโฮลเซล ซึ่งอาจมีการจดใบอนุญาตเฉพาะโฮลเซล และต้องวางหลักประกันไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท แต่ในข้อกำหนดเหล่านี้ เดิมที่ผ่านมาเคยคุยกันมานานและหลายครั้งมากแล้ว ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคตบริษัทใหญ่ควรทำตลาดที่กว้างขึ้น และวางหลักประกันที่มากขึ้น ซึ่งก็ถูกต่อต้านกลับมาในเชิงของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทำให้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งเรื่องนี้กรมการท่องเที่ยวจะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง เพราะในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน จีน มีข้อกำหนดให้บริษัทที่ทำโฮลเซลต้องวาง หลักประกันเป็นสิบล้าน เนื่องจากมูลค่าการ ทำธุรกิจแบบนี้กระทบกับคนในวงกว้าง บริษัทที่จะเข้าทำธุรกิจแบบนี้จึงต้องมีหลักประกันความพร้อมในระดับหนี่ง

          รร.หวั่นค่าแรงขึ้นเงินเฟ้อพุ่ง

          นายไพศาล สุขเจริญ นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) และผู้บริหารโรงแรมสมายล์ล้านนา กล่าวถึงกรณีนโยบายการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 450 ว่า สำหรับธุรกิจโรงแรมหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในจำนวนดังกล่าวจะยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะค่าจ้างพนักงานในอุตสาหกรรมโรงแรมได้รับเงินเดือนขั้นต่ำเกิน 450 บาทต่อวันอยู่แล้ว เนื่องจากพนักงานจะได้รับสวัสดิการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เซอร์วิสชาร์จ ที่ทำให้เมื่อรวมเงินเดือนรายเดือนรวมเฉลี่ยออกมาเป็นรายวันมีค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่าอัตรา 450 บาท และอยู่ที่อัตราเฉลี่ยที่ 500 บาทต่อคนต่อวัน

          อย่างไรก็ตาม ทิศทางการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ที่ทำให้ราคาสินค้าอุปโภค และบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งการขึ้นค่าแรงจะเป็นผลกระทบโดยตรงที่ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาอาหารสด โดยเฉพาะเนื้อหมู ราคาขณะนี้กิโลกรัมละ 250 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 150-160 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 40-50% ซึ่งถ้ามีการปรับค่าจ้างที่ 450 บาท ราคาอาหารสดจะมีการปรับขึ้นอีกครั้ง

          โอดค่าไฟแพงกระตุ้นต้นทุนเพิ่ม

          นายไพศาลกล่าวว่า ขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นประเด็นที่ภาคเอกชนเป็นกังวลคือเรื่องค่าไฟฟ้า แต่เดิมรัฐบาลเก่าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าไว้เป็นอัตราก้าวหน้า ซึ่งโรงแรมเป็นการก่อสร้างลักษณะใหญ่และมีการใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา และมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าเป็นขั้นบันได ล่าสุดมีการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นส่งผลให้จากเดิมค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 1.8 แสนบาท แต่ 2 เดือนที่ผ่านมาค่าไฟฟ้าขยับเพิ่มที่ 2 แสนบาท ตัวเลขค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว

          "หลักการคิดรัฐบาลอาจจะถูกที่คนจนใช้ไฟฟ้าถูก แต่คนรวยใช้ไฟฟ้าแพงก็ต้องจ่ายแพง ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ทำธุรกิจที่ทีรายได้ไม่มากพอ โดยผลประกอบการ ด้านกำไรไม่เกิน 30% หรืออยู่ที่ 15% และเมื่อเทียบกับค่าไฟฟ้าที่กระโดดถึง 30% จึงทำให้รายจ่ายโตมากกว่ารายรับ ซึ่งเรื่องนี้เป็น ผลกระทบหนักที่สุด" นายไพศาลกล่าว

          ขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจแบกต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาห้องพักให้สูงขึ้นตามต้นทุน เนื่องจากกังวลเรื่องการแข่งขัน หากมีการปรับราคาห้องพักขึ้นกว่าโรงแรมอื่นๆ จะทำให้ลูกค้าเลือกที่จะไม่เข้าพัก ผู้ประกอบการจึงเลือกปรับราคาให้อยู่ในระดับเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน โดยที่มีการตกลงราคาร่วมกันว่าควรจะอยู่ที่จุดใดเป็นราคาตรงกลางและมีความเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่กล้าปรับราคาขึ้น แม้ต้นทุนหลายๆ ด้านจะมีการปรับราคาขึ้นบ้างแล้ว

          ส.ประมงเล็งยื่นแก้ปัญหาค้างท่อ

          นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2566 เพื่อกำหนดแนวทางในการจัดทำข้อมูลเสนอต่อรัฐบาลใหม่ให้พิจารณาแก้ไขปัญหาภาคประมงที่สั่งสมมานาน ตามที่แกนนำ 8 พรรคการเมืองบรรจุวาระการแก้ไขปัญหาภาคประมงในบันทึกความตกลงร่วม (เอ็มโอยู) ข้อ 18 ที่ระบุถึงการแก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน โดยปัญหาหลักที่สมาชิกของสมาคม ทั้ง 58 องค์กร ตลอดจนชาวประมงที่อยู่ในเครือข่ายทั้ง 22 จังหวัดชายทะเลต้องการให้เร่งดำเนินการ คือการแก้ไขปรับปรุงระเบียบและประกาศกฎกระทรวงที่เป็นกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องการประมงเนื่องจากมีเป็นจำนวนมากบังคับใช้โดย 7 กระทรวง และ 2 หน่วยงาน รวมแล้วกว่า 500 ฉบับ อาทิ ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และระเบียบกรมประมงรวม 377 ฉบับ กฎหมายด้านแรงงาน 51 ฉบับ กฎหมายของกรมเจ้าท่า 47 ฉบับ

          นายมงคลกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ที่บังคับใช้โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และระเบียบที่บังคับใช้โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ผ่านมาขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการออกทำการประมง ที่มีความ ซ้ำซ้อนเป็นอย่างมาก อาทิ การแจ้งเข้าแจ้งออกของเรือประมง ซึ่งโทษจากความผิดพลาดในการปฏิบัติกรณีกระทำความผิดที่ไม่มีเจตนา เป็นโทษหนักเกินไป เช่น เกี่ยวกับการติดตั้งระบบติดตามเรือ (วีเอ็มเอส) หรือการพลัดหลงเข้าไปในเขตทะเลชายฝั่ง เป็นต้น

          นายมงคลกล่าวอีกว่า สำหรับโทษในประกาศกระทรวงหลายฉบับอาจต้องเสียเงินค่าปรับเป็นเงินจำนวนหลักแสนบาทหรือหลายล้านบาท อีกทั้งยังอาจจะถูกสั่งยึดสัตว์น้ำที่ไปทำการประมงอย่างถูกต้องทั้งหมดในแต่ละครั้งอีกด้วย นอกจากนี้ เรือที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์จะถูกอายัดไว้จนกว่าคดีจะสิ้นสุด ทำให้ไม่สามารถทำมาหากินได้ ถ้าผู้ประกอบการ มีเรือหลายลำ เมื่อเรือต้องคดี 1 ลำ ลำอื่น ไม่สามารถต่อใบอนุญาตได้ โทษจากการกระทำ ผิดวิธีปฏิบัติในประกาศกระทรวง บางฉบับ อาจถึงกับถูกพักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต โดยไม่มีโอกาสต่อสู้คดีอีกด้วย

          ฟื้นเยียวยาสะสมมาแล้ว8ปี

          "ที่ประชุมเห็นชอบจัดตั้งคณะทำงานขึ้น 3 คณะเพื่อพิจารณารายละเอียดของกฎหมายหลักๆ 3 กลุ่มคือ กฎหมายของ กระทรวงเกษตรฯ กฎหมายด้านแรงงาน และกฎหมายของกรมเจ้าท่า ซึ่งจะดูว่ากฎหมายและระเบียบใดควรปรับปรุง ตลอดจนมีข้อใดควรยกเลิก จากนั้นคณะทำงานจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสมาคม เพื่อรวบรวมเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะเร่งแก้ไขปัญหา ช่วยฟื้นฟู เยียวยาความเดือดร้อนที่สั่งสมมานานกว่า 8 ปีและช่วยพัฒนาอาชีพประมงให้มีความยั่งยืนและเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารในอนาคตอย่างเร่งด่วนต่อไป" นายมงคลกล่าว

          แบงก์คาดดอกเบี้ยแตะ2.25%

          นายฉมาดนัย มากนวล นักวิเคราะห์ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน เป็นครั้งที่ 6 โดยมองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องปีนี้ที่ 3.6% จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่คาดว่าการส่งออกขยายตัวที่ติดลบ 0.1% แต่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเมษายน อยู่ที่ 2.67% อาจปรับลดลง แต่ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2% ยังทรงตัวสูง และมีความเสี่ยงด้านสูงจากแรงกดดันอุปสงค์และการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจปรับสูงขึ้น

          "ประเมินว่า กนง. มีโอกาสคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปต้นเดือนสิงหาคม และรอดูความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 2.25% ช่วงปลายปี จากความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงด้านสูง อีกทั้ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจเป็นปัจจัยหนุนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง." นายฉมาดนัยกล่าว

          นางสาวณิชนันท์ โลกวิทูล นักวิเคราะห์ กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ระบุว่า คาดว่า กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนสิงหาคม 2566 และกันยายน 2566  สู่ระดับ 2.5% เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่าง ต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของไทยที่แม้จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูง จากการส่งผ่านต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไปยังผู้บริโภคที่คาดว่ายังอยู่ในระดับสูงตลอดปีนี้ และยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

          ขึ้นดอกฉุดตลาดอสังหาฯวูบ

          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จาก 1.75% สู่ 2% โดยมีผลทันที เป็นไปตามที่ได้ตั้งสมมุติฐานไว้ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 เกิดการชะลอตัว กระทบต่อยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์และการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2566 ตลาดเงียบ ผู้ประกอบการยอดขายไม่ดี เป็นผลมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกการผ่อนปรนมาตรการ LTV และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น

          นายวิชัยกล่าวว่า คาดว่าทั้งปี 2566 การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ มีจำนวน 78,269 หน่วย ลดลง 9.3% ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มี 98,132 หน่วย ลดลง 10.5% ด้านมูลค่าอยู่ที่ 505,235 ล้านบาท ลดลง 8.2% มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ 352,761 หน่วย ลดลง 10.2% มีมูลค่า 1,016,838 ล้านบาท ลดลง 4.5% แบ่งเป็นแนวราบ 264,571  หน่วย ลดลง 7.4% มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง 2.9% และอาคารชุด 88,190 หน่วย ลดลง 17.7% มูลค่า 263,210 ล้านบาท ลดลง 8.8% ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่จะมีมูลค่า 650,764 ล้านบาท ลดลง 6.8%

          กระทบทั้งผู้ขาย-ค่างวดผู้ซื้อ

          นายวิชัยกล่าวว่า การที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงเช่นนี้ ย่อมต้องมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาพอสังหาฯ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการจะมีต้นทุนทางการเงินในการลงทุนเพิ่ม โดย ผู้ประกอบการไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะต้องกู้สถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และผู้ประกอบการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะมีต้นทุนในการออกตราสารหนี้ที่สูงขึ้น ด้านผู้ซื้อที่อยู่อาศัย จะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 2 ด้าน คือ คาดว่าจะทำให้วงเงินกู้ที่ได้รับสินเชื่อลดลง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% จะทำให้วงเงินที่ได้รับสินเชื่อลดลง ประมาณ 75,000 บาท (วงเงิน 2 ล้านบาท) หรือจะทำให้เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% จะทำให้ เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 350-400 บาท ซึ่งในภาวะเช่นนี้สวนทางกับราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น และความสามารถทางการเงินของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันที่ยังไม่ฟื้นตัวดี

          คาดหนีดอกแพงแห่รีไฟแนนซ์

          นายวิชัยกล่าวว่า ขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระบ้านแล้วมีโอกาสจะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น คือถ้าดอกเบี้ยขึ้น แต่เงินงวดยังไม่ขึ้น ผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระบ้านจะได้รับการตัดชำระเงินต้นลดลง ระยะเวลาในการผ่อนชำระจะยาวนานขึ้นและถ้าอัตราดอกเบี้ย MRR/MLR ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบันอีก 0.25-0.50% ก็อาจจะทำให้ ธนาคารมีการเพิ่มค่างวดในการผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่ม เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% มาแล้วรวม 3 ครั้งหรือขึ้นมาแล้ว 0.75% ดังนั้น กลุ่มที่มีการผ่อนชำระที่ผูกกับการลอยตัวของ MRR/MLR ที่ในช่วงที่ผ่านมาขึ้นมาแล้ว 1-2 ครั้งและกลุ่มที่กำลังจะพ้นช่วงดอกเบี้ยโปรโมชั่นจะได้รับผลกระทบมาก และอาจจะทำให้เกิดการรีไฟแนนซ์ระหว่างธนาคารอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง

          จี้รบ.ใหม่ออกมาตรการกระตุ้น

          นายวิชัยกล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่เข้ามา บริหารประเทศแล้ว อยากให้รัฐบาลใหม่พิจารณาออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกรอบ เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น ผ่อนปรนมาตรการ LTV, จัดหาดอกเบี้ยเป็นซอฟต์โลนให้สถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วง 1-2 ปีแรก เพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และจะทำให้การถูกปฏิเสธสินเชื่อลดลงได้ด้วย ปัจจุบันกำลังที่อยู่อาศัยในประเทศอ่อนแอ ซึ่งตลาดคอนโดมิเนียมยังต้องการกำลังซื้อจากต่างชาติ ดังนั้น ภาครัฐควรมีมาตรการช่วย เช่น ให้วีซ่าระยะยาว, เพิ่มโควต้าให้ต่างชาติซื้อคอนโดได้มากกว่า 49% ในบางพื้นที่ที่ขายดี และเป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต

          สพท.หวั่นค่าแรง100วันทำยาก

          นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 450 บาท ในช่วง 100 วันแรกของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ ว่า ในฐานะตัวแทนฝ่ายลูกจ้างที่คลุกคลีทำงานเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างมายาวนาน มองว่านโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 450 บาท ใน 100 วันแรกของพรรคก้าวไกล ทำจริงได้ยาก และเป็นห่วงว่าการใช้เรื่องนี้หาเสียงกับประชาชน และทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานมีความหวังและสนับสนุนด้วยการลงคะแนนให้กันอย่างล้นหลาม หากทำไม่ได้ใน 100 วันแรกจะเป็นปัญหา ที่อาจจะทำให้ผู้ใช้แรงงานไม่พอใจออกมาเรียกร้อง และร้องไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือศาลปกครอง ว่าไม่ทำตามสัญญา

          "เรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น มีองค์ประกอบและปัจจัยหลากหลายที่ต้องนำมาพิจารณาในคณะกรรมการไตรภาคี ทั้งอัตราเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจประเทศ การที่พรรคก้าวไกลไปกำหนดว่าต้องขึ้นค่าจ้าง 450 บาทใน 100 วันนั้น อาจจะเป็นเรื่องยาก และยิ่งทำให้ฝ่ายนายจ้าง/สถานประกอบการ มีความกังวล หากขึ้น 450 บาท จะเกิดปัญหาตามมาอีก คือ คนเข้าใหม่ได้ค่าจ้าง 450 บาท ทันที แต่ในส่วนของคนที่ทำงานมาก่อน 4-5 ปี ที่ได้ค่าจ้างในอัตราที่สูงอยู่แล้ว นายจ้างต้องปรับขึ้นตามด้วย คนกลุ่มนี้หากยังไม่ถึง 450 บาท ก็ต้องได้ แต่ในคนที่ได้ถึง 450 บาท อยู่แล้ว นายจ้างจะทำอย่างไร ไม่ขึ้นให้ก็มีปัญหา ขึ้นให้อีกก็มีปัญหา จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เรื่องในกลุ่มลูกจ้างส่วนใหญ่เข้าใจกันดี" นายมนัสกล่าว

          นายมนัสกล่าวอีกว่า มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงสร้างค่าจ้างของประเทศ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบคือ รัฐบาลควรทำอัตราค่าจ้างแรกเข้า และทำโครงสร้างอัตราค่าจ้างประจำปี เพื่อให้คนที่มีอายุงาน มีทักษะความสามารถ มีผลงาน มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ มีรายได้ที่ เพิ่มขึ้นตามอายุงานที่เพิ่มขึ้น และจะช่วยให้องค์กรนั้นๆ ไม่มีความขัดแย้งภายใน หากทำตามแนวทางนี้ จะต้องแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 87 ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเช่นกัน

          'เศรษฐา' ชี้ขึ้นค่าแรงไม่ทำทุนหนี

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท จะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการ รัฐบาลใหม่ต้องลองศึกษาให้ดี เพราะมันมีทั้งดีและไม่ดี ต้องมีการพิจารณาในหลายๆ ด้าน ถ้าค่าแรงสูงอาจทำให้มีการย้ายการลงทุนไปเวียดนามได้นั้น

          ต่อมา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) ทวีตข้อความว่า "คงไม่ใช่เหตุผลนี้หรอกครับที่เขาจะย้ายฐาน ถ้าเขาจะย้ายฐานก็คงมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น ไม่มีความคืบหน้าทางด้านการเจรจาสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ หรือไม่มีผู้นำที่เดินทางออกไปเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาลงทุนแล้วบอกเล่าว่าประเทศไทยดีอย่างไร ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง"

          ธ.กรุงเทพขึ้นดอกเบี้ยเริ่ม2มิ.ย.

          นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้น 0.05-0.25% เงินฝากสะสมทรัพย์เป็น 0.60% ต่อปี เงินฝากประจำ 3 เดือน เป็น 0.95% ต่อปี เงินฝากประจำ 6 เดือน เป็น 1.05% ต่อปี เงินฝากประจำ 12 เดือน เป็น 1.35% ต่อปี เงินฝากประจำ 24 เดือน เป็น 1.75% ต่อปี และเงินฝากประจำ 36 เดือน เป็น 1.90% ต่อปี ส่วนเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Saving วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท 1.50% ต่อปี และวงเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท 0.60% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินให้ สินเชื่อปรับขึ้น 0.20% โดยอัตราดอกเบี้ย เอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เป็น 6.85% ต่อปี เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เป็น 7.30% ต่อปี และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เป็น 7.05% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป

          ชงกกต.ห้ามหาเสียงขึ้นค่าแรง

          นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ปรับขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ใน 100 วันนั้น แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับความคิดเห็นของนายจ้างส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วต้องมีการปรับขึ้นตามนโยบายที่ได้มีการหาเสียงไว้อยู่ดี ซึ่งในฝั่งของนายจ้างหรือผู้ประกอบการก็ชัดเจนว่าจ่ายไม่ไหว ซึ่งอยากให้พรรคก้าวไกลพิจารณาผลกระทบ เพราะการปรับค่าแรง ขั้นต่ำจาก 354 บาทต่อวัน เป็น 450 บาทต่อวัน เท่ากับปรับขึ้นทันที 30% ทั้งประเทศ จะเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องหาจุดลงตัว ที่ทำให้นโยบายเดินไปได้

          "แนวทางการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ควรเป็นแบบการเพิ่มค่าแรงตามทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องผ่านการทดสอบวัดผล โดยให้แรงงานได้ฝึกเพิ่มทักษะแล้วไปสอบเพื่อปรับขึ้นค่าจ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้คือ เปย์ บาย สกิล โดยจะทำให้นายจ้างมีเวลาในการปรับตัวได้มากขึ้นอีกด้วย" นายธนิตกล่าว

          นายธนิตกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังเสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ออกกฎห้ามพรรคการเมืองนำเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำมาใช้หาเสียง เพราะคนจ่ายค่าจ้างไม่ใช่รัฐบาลแต่เป็นเอกชน ควรพิจารณาให้เป็นไปตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หากไทยปรับขึ้นเป็น 450 บาท ตามที่พรรคก้าวไกลหาเสียงไว้ จะส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำของไทยและเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ทิ้งห่างกันถึง 107 บาทต่อคน จากปัจจุบันห่างกันประมาณ 11 บาทต่อคน ซึ่งตัวเลขนี้กำลังเป็นที่กังวลของผู้ประกอบการไทย ที่จะทำให้เวียดนามได้เปรียบไทยมากขึ้น และแรงงานเองก็กังวลว่าอาจต้องโดนคัดออกอีกครั้ง เนื่องจากผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนไม่ไหวเช่นกัน

          บ.แม่บ้าน-รปภ.ขอทยอยขึ้นค่าแรง

          นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) บริษัทลูกการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทรับจ้าง กคช.บริหารโครงการบ้านเช่าบ้านเอื้ออาทร ประมาณ 8,000 หน่วย กระจายอยู่ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยจะดูแลเรื่องการเก็บค่าเช่าและดูกายภาพของโครงการ นอกจากนี้จะมีบริษัทลูกที่ให้บริการแม่บ้านและรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ด้วย โดยมีพนักงานอยู่กว่า 300 คน

          "จากนโยบายรัฐบาลใหม่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบริษัทแน่นอน ปัจจุบันเราจ่ายตามค่าแรง ขั้นต่ำอยู่แล้วเฉลี่ย 350 บาทต่อวัน เมื่อค่าแรงกระโดดขึ้นไป 450 บาททันทีจริงๆ ทำให้ เราทำงานยาก ทำแล้วจะไม่มีรายได้เหลือ เพราะผู้ที่จ้างเราเขาจ่ายให้เท่าเดิม ต้องมี รายได้อื่นมาซัพพอร์ต ไม่งั้นรายได้เราจะไม่มี อยากขอให้รัฐบาลปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเงินเฟ้อ เช่น ปัจจุบันเงินเฟ้อ อยู่ที่ 6% ก็ปรับขึ้น 6% หรือ 20 บาท จาก 350 บาท เป็น 370 บาท ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ยังพอรับได้ โดยให้รัฐบาลออกนโยบายที่ ประคับประคองกันได้ เราอยู่ได้และพนักงานอยู่ได้" นายพิษณุพรกล่าว