บิ๊กแบรนด์ฯเชื่อ 'คอนโด-มิกซ์ยูส' เดินหน้าต่อ...หลังฝ่าวิกฤต-รับแรงหนุนรัฐ
วันที่ : 4 มิถุนายน 2568
แสนสิริ เผยว่า สำหรับแนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังอาจจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในกลุ่มคอนโดมิเนียมตึกเตี้ยและโครงการแนวราบที่อยู่ในเมืองรอง โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น และเชียงใหม่
"อสังหาฯ ไทยครึ่งปีหลังส่อแววฟื้น บิ๊กแบรนด์ "แสนสิริ-เซ็นทรัลพัฒนา" ยังมั่นใจคอนโดและมิกซ์ยูสไปต่อได้ หลังผ่านบทพสูจน์แผ่นดินไหว ขณะที่มาตรการรัฐเริ่มมีผล"
"เรามีมาตรฐานในการออกแบบและก่อสร้างระดับสูงอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เราพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพที่วางไว้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้จริง ลูกบ้านของเรายังคงให้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง"
"ในแง่ของความมั่นใจ ได้พิสูจน์แล้วว่าการออกแบบโครงสร้างในประเทศไทยผ่านมาตรฐานรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบทเรียนที่ช่วยให้วงการออกแบบและก่อสร้างพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น"
แม้ช่วงต้นปีตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวและปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงภาระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่กลับมาเต็มอัตรา
อย่างไรก็ตาม มาตรการสำคัญหลายฉบับเริ่มทยอยมีผลในช่วงครึ่งปีหลัง เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองสำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท การผ่อนปรนเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก ตลอดจนโครงการบ้านล้านหลังเฟสใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นตลาด
ทั้งนี้ เสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายใหญ่พบว่า ภาคอสังหาฯ ไทยอาจเริ่มกลับมาส่งสัญญาณบวกในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสในทำเลเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองสำคัญ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยังคงมีอยู่จริง
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในช่วงต้นปี แม้ยอดจองในโครงการตึกสูงจะสะดุดในระยะแรก แต่ใช้เวลาไม่ถึง 60 วัน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็เริ่มกลับคืนมา ส่งผลให้ยอดขายและยอดโอนปรับตัวดีขึ้น
"ในแง่ของความมั่นใจ ได้พิสูจน์แล้วว่าการออกแบบโครงสร้างในประเทศไทยผ่านมาตรฐานรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบทเรียนที่ช่วยให้วงการออกแบบและก่อสร้างพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ขณะเดียวกันลูกค้าก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุแผ่นดินไหวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของตึกในวงกว้าง" นายองอาจกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังอาจจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในกลุ่มคอนโดมิเนียมตึกเตี้ยและโครงการแนวราบที่อยู่ในเมืองรอง โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น และเชียงใหม่ สะท้อนจากในบางโครงการของแสนสิริซึ่งมียอดโอนเกือบ 100% แล้ว แม้ช่วงต้นปีจะต้องหยุดชะงักเพื่อซ่อมแซมและประเมินความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังบริษัทเริ่มกลับมาเปิดขายตามแผน
นายองอาจ ยังยืนยันว่าแสนสิริยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รวม 29 โครงการ มูลค่ารวม 52,000 ล้านบาทตามแผนเดิม โดยไม่ปรับลดเป้าหมายยอดขายและรายได้ประจำปี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดและความสามารถในการรับมือกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและเหตุไม่คาดฝัน เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมอาคารหลังเกิดเหตุการณ์
"ปัจจัยต่างๆไม่ได้ทำให้ดีมานด์หายไป เพียงแต่คุณภาพดีมานด์ และกำลังซื้อเปลี่ยนไปตามภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริโภคยังต้องการบ้าน เพียงแต่ตัดสินใจช้าลง ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ จึงต้องปรับตัว" นายองอาจกล่าว
เช่นเดียวกันกับ นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมาเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความแข็งแรงของโครงการที่บริษัทพัฒนา ทั้งศูนย์การค้าและโครงการที่อยู่อาศัย โดย CPN ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบทุกโครงการทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ พร้อมส่งวิศวกรประเมินและซ่อมแซมโดยไม่รอให้ลูกค้าแจ้ง
"เรามีมาตรฐานในการออกแบบและก่อสร้างระดับสูงอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เราพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพที่วางไว้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้จริง ลูกบ้านของเรายังคงให้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง" นางสาววัลยากล่าว
สำหรับตลาดครึ่งปีหลังในมุมมองของนางสาววัลยา กล่าวว่ายังคงเห็นศักยภาพการเติบโต โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดซึ่งมีฐานลูกค้าท้องถิ่นที่มีกำลังซื้อสูง และเปิดรับโครงการคุณภาพจากกรุงเทพฯ
และยังระบุว่า ลูกค้าหลายกลุ่มที่เคยชะลอการตัดสินใจเริ่มกลับเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการบ้านหลังแรกหรือที่พักใกล้แหล่งงาน ซึ่งโครงการที่อยู่ในโครงข่ายศูนย์การค้าจะได้เปรียบมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบวงจร
"เราวางกลยุทธ์พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสและเรสซิเดนซ์ควบคู่ศูนย์การค้า งบลงทุน 5 ปีที่วางไว้ 120,000 ล้านบาท โดย 10% หรือประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี ใช้กับโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเราหวังจะดันแบรนด์ให้ติดท็อป 10 ในปีนี้" นางสาววัลยากล่าว
CPN ยังเห็นโอกาสขยายโครงการในเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต เช่น กระบี่ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่มองหาบ้านหลังที่สอง และกลุ่ม Digital Nomad ที่มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ รวมถึงกลุ่มเกษียณที่ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมคุณภาพพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก
ในด้านการปรับแผนการลงทุน ทั้งสองบริษัทยืนยันยังไม่มีการชะลอโครงการ แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยขาขึ้น โดย CPN เดินหน้ากระจายโครงการในต่างจังหวัดตามแผน 5 ปี โดยใช้ศูนย์การค้าเป็นตัวตั้งและตามด้วยโครงการแนวราบ ส่วนแสนสิริยังคงสัดส่วนโครงการแนวราบและคอนโดไว้ที่ 65% และ 35% ตามลำดับ โดยมีกลุยุทธ์เน้นทำเลแข็งแรงที่รองรับดีมานด์กลุ่มเป้าหมายได้จริง
ในระยะถัดไป คาดว่าจะเห็นผู้ประกอบการหลายรายทยอยปรับพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลขึ้น โดยลดการพึ่งพาโครงการแนวสูงในเมืองใหญ่ แล้วหันไปลงทุนในโครงการแนวราบหรือตึกเตี้ยที่ต้นทุนควบคุมง่ายกว่า และตอบโจทย์ครอบครัวขยายได้ดีกว่า
ทั้งนี้ จุดสำคัญในตลาดครึ่งปีหลังอยู่ที่การกระจายมาตรการรัฐให้ถึงมือผู้บริโภคจริง ลดต้นทุนการพัฒนาโครงการ และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพอาคาร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกหรือบ้านพักตากอากาศ
แม้ปัจจัยแวดล้อมจะยังท้าทาย แต่แนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยไทยยังไม่ถดถอย โดยผู้ประกอบการหลายรายต่างต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และปรับตัวให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ เพื่อให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
"เรามีมาตรฐานในการออกแบบและก่อสร้างระดับสูงอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เราพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพที่วางไว้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้จริง ลูกบ้านของเรายังคงให้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง"
"ในแง่ของความมั่นใจ ได้พิสูจน์แล้วว่าการออกแบบโครงสร้างในประเทศไทยผ่านมาตรฐานรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบทเรียนที่ช่วยให้วงการออกแบบและก่อสร้างพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น"
แม้ช่วงต้นปีตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวและปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงภาระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่กลับมาเต็มอัตรา
อย่างไรก็ตาม มาตรการสำคัญหลายฉบับเริ่มทยอยมีผลในช่วงครึ่งปีหลัง เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองสำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท การผ่อนปรนเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก ตลอดจนโครงการบ้านล้านหลังเฟสใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นตลาด
ทั้งนี้ เสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายใหญ่พบว่า ภาคอสังหาฯ ไทยอาจเริ่มกลับมาส่งสัญญาณบวกในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสในทำเลเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองสำคัญ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยังคงมีอยู่จริง
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในช่วงต้นปี แม้ยอดจองในโครงการตึกสูงจะสะดุดในระยะแรก แต่ใช้เวลาไม่ถึง 60 วัน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็เริ่มกลับคืนมา ส่งผลให้ยอดขายและยอดโอนปรับตัวดีขึ้น
"ในแง่ของความมั่นใจ ได้พิสูจน์แล้วว่าการออกแบบโครงสร้างในประเทศไทยผ่านมาตรฐานรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบทเรียนที่ช่วยให้วงการออกแบบและก่อสร้างพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ขณะเดียวกันลูกค้าก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุแผ่นดินไหวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของตึกในวงกว้าง" นายองอาจกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังอาจจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในกลุ่มคอนโดมิเนียมตึกเตี้ยและโครงการแนวราบที่อยู่ในเมืองรอง โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น และเชียงใหม่ สะท้อนจากในบางโครงการของแสนสิริซึ่งมียอดโอนเกือบ 100% แล้ว แม้ช่วงต้นปีจะต้องหยุดชะงักเพื่อซ่อมแซมและประเมินความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังบริษัทเริ่มกลับมาเปิดขายตามแผน
นายองอาจ ยังยืนยันว่าแสนสิริยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รวม 29 โครงการ มูลค่ารวม 52,000 ล้านบาทตามแผนเดิม โดยไม่ปรับลดเป้าหมายยอดขายและรายได้ประจำปี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดและความสามารถในการรับมือกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและเหตุไม่คาดฝัน เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมอาคารหลังเกิดเหตุการณ์
"ปัจจัยต่างๆไม่ได้ทำให้ดีมานด์หายไป เพียงแต่คุณภาพดีมานด์ และกำลังซื้อเปลี่ยนไปตามภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริโภคยังต้องการบ้าน เพียงแต่ตัดสินใจช้าลง ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ จึงต้องปรับตัว" นายองอาจกล่าว
เช่นเดียวกันกับ นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมาเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความแข็งแรงของโครงการที่บริษัทพัฒนา ทั้งศูนย์การค้าและโครงการที่อยู่อาศัย โดย CPN ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบทุกโครงการทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ พร้อมส่งวิศวกรประเมินและซ่อมแซมโดยไม่รอให้ลูกค้าแจ้ง
"เรามีมาตรฐานในการออกแบบและก่อสร้างระดับสูงอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เราพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพที่วางไว้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้จริง ลูกบ้านของเรายังคงให้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง" นางสาววัลยากล่าว
สำหรับตลาดครึ่งปีหลังในมุมมองของนางสาววัลยา กล่าวว่ายังคงเห็นศักยภาพการเติบโต โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดซึ่งมีฐานลูกค้าท้องถิ่นที่มีกำลังซื้อสูง และเปิดรับโครงการคุณภาพจากกรุงเทพฯ
และยังระบุว่า ลูกค้าหลายกลุ่มที่เคยชะลอการตัดสินใจเริ่มกลับเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการบ้านหลังแรกหรือที่พักใกล้แหล่งงาน ซึ่งโครงการที่อยู่ในโครงข่ายศูนย์การค้าจะได้เปรียบมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบวงจร
"เราวางกลยุทธ์พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสและเรสซิเดนซ์ควบคู่ศูนย์การค้า งบลงทุน 5 ปีที่วางไว้ 120,000 ล้านบาท โดย 10% หรือประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี ใช้กับโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเราหวังจะดันแบรนด์ให้ติดท็อป 10 ในปีนี้" นางสาววัลยากล่าว
CPN ยังเห็นโอกาสขยายโครงการในเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต เช่น กระบี่ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่มองหาบ้านหลังที่สอง และกลุ่ม Digital Nomad ที่มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ รวมถึงกลุ่มเกษียณที่ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมคุณภาพพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก
ในด้านการปรับแผนการลงทุน ทั้งสองบริษัทยืนยันยังไม่มีการชะลอโครงการ แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยขาขึ้น โดย CPN เดินหน้ากระจายโครงการในต่างจังหวัดตามแผน 5 ปี โดยใช้ศูนย์การค้าเป็นตัวตั้งและตามด้วยโครงการแนวราบ ส่วนแสนสิริยังคงสัดส่วนโครงการแนวราบและคอนโดไว้ที่ 65% และ 35% ตามลำดับ โดยมีกลุยุทธ์เน้นทำเลแข็งแรงที่รองรับดีมานด์กลุ่มเป้าหมายได้จริง
ในระยะถัดไป คาดว่าจะเห็นผู้ประกอบการหลายรายทยอยปรับพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลขึ้น โดยลดการพึ่งพาโครงการแนวสูงในเมืองใหญ่ แล้วหันไปลงทุนในโครงการแนวราบหรือตึกเตี้ยที่ต้นทุนควบคุมง่ายกว่า และตอบโจทย์ครอบครัวขยายได้ดีกว่า
ทั้งนี้ จุดสำคัญในตลาดครึ่งปีหลังอยู่ที่การกระจายมาตรการรัฐให้ถึงมือผู้บริโภคจริง ลดต้นทุนการพัฒนาโครงการ และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพอาคาร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกหรือบ้านพักตากอากาศ
แม้ปัจจัยแวดล้อมจะยังท้าทาย แต่แนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยไทยยังไม่ถดถอย โดยผู้ประกอบการหลายรายต่างต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และปรับตัวให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ เพื่อให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ