'ธอส.' อัดมาตรการปูพรมช่วยเหลือลูกหนี้
วันที่ : 9 มิถุนายน 2568
ธอส. ระบุว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐ พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตัวเองไว้ ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงขานรับนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่
"ปัญหาหนี้ครัวเรือน" ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตาสำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เผยว่า หนี้สินครัวเรือนในภาพใหญ่ของประเทศไทยอยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้สินครัวเรือนที่มีการจัดเก็บในระบบเครดิตบูโรที่มาจากสถาบันการเงินกว่า 160 แห่ง มีอยู่เท่ากับ 13.5 ล้านล้านบาท หนี้เสีย (NPL) มีจำนวน 1.19 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือน ม.ค.2568 จำนวน 3 หมื่นล้านบาท โดยหนี้เสียนี้ครอบคลุมจำนวนลูกหนี้ 5.15 ล้านคน 9.13 ล้านบัญชี
เมื่อเจาะลงมาในหนี้เสีย ตั้งแต่ 1 แสนบาทลงมาจะพบว่า มีอยู่เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10% ของยอดหนี้เสียนั้นครอบคลุมจำนวนรายของคนที่เป็นลูกหนี้ 3.28 ล้านคน 4.44 ล้านบัญชี เครดิตบูโร ระบุว่า หากมีมาตรการแก้หนี้ตรงนี้แบบเบ็ดเสร็จก็จะช่วยคนได้เป็นจำนวนหลายล้านคน สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร ระบุ
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างเร่งในการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของลูกหนี้จากภาระการจ่ายหนี้ไม่ไหว ด้วยแนวทางหรือมาตรการต่างๆ ในหลากหลายมิติ ที่เห็นเด่นๆ ก็คงจะเป็น "มาตรการคุณสู้ เราช่วย" แต่ก็อาจจะต้องยอมรับว่ายาเม็ดนี้คงยังไม่แรงเพียงพอ เพราะก็ยังมีลูกหนี้ที่เข้าสู่มาตรการไม่มากตามเป้าหมาย ขณะที่สถาบันการเงินต่างๆ ไม่เพียงแค่ให้ความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐเท่านั้น หลายส่วนก็มีการออกมาตรการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการออกมาตรการทั้งตามนโยบายรัฐบาล และมาตรการเฉพาะของตัวเองในการให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาโดยตลอด และหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจของ ธอส. นั่นคือ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน!
สำหรับโครงการดังกล่าว คือ โครงการที่มุ่งให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างวินัยการเงิน และเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เรียกว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อต้องการส่งเสริม ส่งต่อ และเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ให้แก่ประชาชน ดังนั้นนอกจากความรู้เกี่ยวกับการกู้สินเชื่อบ้านแล้ว ธอส.ยังมุ่งให้ความรู้เรื่องการเงินในทุกด้านแก่ประชาชนอีกด้วย
โดยล่าสุด ธอส.ยังได้ยกระดับ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ขึ้นสู่ระบบดิจิทัล ผ่าน Application: GHB ALL GEN เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้มีรายได้น้อย, ผู้ที่มีอาชีพอิสระ, ผู้ที่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ชัดเจน, ผู้ที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ และนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีประวัติทางการเงินที่แน่นอน มาเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ ธอส. เพื่อออมเงินอย่างสม่ำเสมอผ่าน Application: GHB ALL GEN เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ทุกบัญชีรวมกัน) เพื่อนำหลักฐานการออมเงินดังกล่าวมาใช้สำหรับยื่นขอสินเชื่อกับ ธอส. และในอนาคต ธอส.ได้จัดเตรียมสินเชื่อในโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน โดยในปีนี่ตั้งเป้าหมายมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ 30,000 ราย
นอกจาก โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน แล้ว ธอส.ยังคงเดินหน้าจัดทำมาตรการในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเข้มข้นอีกด้วย ล่าสุดกับ "มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3)" ภายใต้กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยพุ่งเป้าหมายไปยังลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตัวเองไว้ได้ต่อไป
กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธอส. ระบุว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐ พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตัวเองไว้ ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงขานรับนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่
สำหรับ "มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) นั้น เพื่อช่วยหลือลูกหนี้กลุ่ม SM ซึ่งจะเป็นการช่วยลดจำนวน NPL ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ของธนาคารที่ยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้สามารถผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้ธนาคารต่อไปได้ โดยลูกค้ากลุ่ม SM ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จะได้รับความช่วยเหลือเดือนที่ 1-6 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน และเดือนที่ 7-9 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90%+100 บาท ส่วนเดือนที่ 10-12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90%+100 บาท กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) "การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส.ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ซึ่ง ธอส.ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้" กมลภพ กล่าว
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน 4 มาตรการ ขณะเดียวกัน ธอส.ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม "โครงการคุณสู้ เราช่วย" ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 ม.ค.2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พ.ย.2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ด้วย
หลังจาก ธอส.ได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์หนี้เสียของธนาคารในปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 4.95% จากที่คาดการณ์ว่าหนี้เสียจะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 6% ซึ่งตัวเลขหนี้เสียที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเครื่องสะท้อนความสำเร็จของ ธอส.ในการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้า ขณะที่แนวโน้มหนี้เสียในปี 2568 นั้น กมลภพ ยืนยันว่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 5% อย่างแน่นอน จากเป้าหมายที่ 5.13%
เนื่องจาก ธอส.ได้มีการสำรองหนี้เสียส่วนเกินมากพอสมควร ขณะที่งบดุล (Balance Sheet) แข็งแรงมาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญแต่อย่างใด ส่วนแผนการขายหนี้เสียในปี 2568 ยังไม่มี สำหรับการช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการคุณสู้ เราช่วยนั้น พบว่าปัจจุบันมีลูกค้าของ ธอส.ที่เข้าสู่โครงการแล้ว 22% ของกลุ่มเป้าหมาย แม้ว่าจะดูน้อย แต่ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้เข้าสู่มาตรการช่วยเหลือเฉพาะของ ธอส.ไปก่อนแล้ว ซึ่งธนาคารได้เปิดทางให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์โครงการคุณสู้ เราช่วยหรือไม่ หรือจะใช้มาตรการช่วยเหลือของ ธอส.ตามเดิม ส่วนลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง หรือมีปัญหา NPL ราว 3.3 แสนรายนั้น ธอส.เข้าถึงตัว/ติดต่อลูกหนี้ทุกรายเรียบร้อยแล้ว
แนวทางการบริหาร NPL ของ ธอส.ในปีนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นแก้หนี้เสียเองเป็นหลัก ส่วนลูกหนี้กลุ่มที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ (SM) นั้น ในปีนี้มีทิศทางที่ดีกว่าปีก่อนมาก สะท้อนจากภาพรวม 4 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) พบว่าปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการในการให้ความช่วยเหลือที่ธนาคารเร่งผลักดันออกมา ซึ่งช่วยเรื่องระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น ส่งผลให้ยอดผ่อนต่องวดลดลง ซึ่งส่งผลดีกับลูกหนี้กลุ่ม SM เป็นอย่างมาก
นอกจากการเร่งช่วยเหลือลูกหนี้ในการแก้ไขปัญหาหนี้ผ่านมาตรการต่างๆ ธอส.ยังเดินหน้าจัดทำมาตรการเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ด้วย ได้แก่ สินเชื่อบ้าน Premier Home: หนุนกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย วงเงินตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไปให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวดีขึ้น ภายใต้กรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1.79% ต่อปี กรณีลูกค้าที่มีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) หรือฟรีค่าจดจำนองสูงสุด 200,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดนาน 40 ปี
สินเชื่อซ่อม-แต่ง และสินเชื่อซ่อม-แต่ง Plus: เพิ่มเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยลูกค้าปัจจุบันของ ธอส.ที่มีการผ่อนชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีสม่ำเสมอทุกเดือนไม่น้อยกว่า 12 เดือน กรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ให้กู้เพิ่มรวมวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อราย โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี และอีก 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และปีที่ 4-5 เท่ากับ 3.50% ต่อปี
สำหรับ ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อาทิ รีโนเวทบ้านใหม่ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ หรือติดตั้ง Solar Roof ยื่นกู้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน
สินเชื่อ Pre Finance Premium: เพิ่มวงเงินสินเชื่อพัฒนา โครงการ (Pre Finance) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ทำเลยที่มีศักยภาพ 27 จังหวัด ที่ต้องการซื้อที่ดินก่อสร้างอาคาร พัฒนาสาธารณูปโภค และค้ำประกันที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดทำโครงการ อัตราดอกเบี้ยปีแรกเท่ากับ 3.90% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 4.40% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.60% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.30% ส่วนปีที่ 4-5 เท่ากับ MLR (อัตราดอกเบี้ย MLR ของ ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.10%)
กมลภพ กล่าวอีกว่า ธอส.มีแนวทางในการดำเนินงานของธนาคารในอนาคต ตามโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเป็น "ธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank)" โดยเน้นให้ความสำคัญกับการมีที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพของลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัย (Aging Society) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณพ์และบริการที่รองรับสังคมสูงวัย อาทิ โครงการบ้าน ธอส. สร้างสุขเพื่อผู้สูงวัย ปี 2568 ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.90% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.50% กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 40 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้น 4,600 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมบ้านตามแบบบ้านผู้สูงอายุ และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย
โครงการสินเชื่อ Aging Home ปี 2568 ที่ให้อัตราดอกเบี้ย คงที่ถึง 10 ปี เท่ากับ 4.25% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 52 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้น 4,000 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยต้องกู้ร่วมกับบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย พร้อมกับการขอกู้ในวัตถุประสงค์หลัก และชำระหนี้พร้อมรีไฟแนนซ์
นอกจากนี้ยังมี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage: RM) สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปี แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำที่อยู่อาศัยของตัวเองที่ปลอดจำนองมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ โดยไม่พิจารณารายได้ของผู้กู้ วงเงินให้กู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 10 ล้านบาท กรณีที่ดินพร้อมอาคารให้กู้ไม่เกิน 50% ของราคาประเมินที่ดินและอาคาร กรณีห้องชุดให้กู้ไม่เกิน 30% ของราคาประเมินห้องชุด อัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาการให้กู้สูงสุดไม่เกิน 25 ปี!!.
เมื่อเจาะลงมาในหนี้เสีย ตั้งแต่ 1 แสนบาทลงมาจะพบว่า มีอยู่เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10% ของยอดหนี้เสียนั้นครอบคลุมจำนวนรายของคนที่เป็นลูกหนี้ 3.28 ล้านคน 4.44 ล้านบัญชี เครดิตบูโร ระบุว่า หากมีมาตรการแก้หนี้ตรงนี้แบบเบ็ดเสร็จก็จะช่วยคนได้เป็นจำนวนหลายล้านคน สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร ระบุ
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างเร่งในการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของลูกหนี้จากภาระการจ่ายหนี้ไม่ไหว ด้วยแนวทางหรือมาตรการต่างๆ ในหลากหลายมิติ ที่เห็นเด่นๆ ก็คงจะเป็น "มาตรการคุณสู้ เราช่วย" แต่ก็อาจจะต้องยอมรับว่ายาเม็ดนี้คงยังไม่แรงเพียงพอ เพราะก็ยังมีลูกหนี้ที่เข้าสู่มาตรการไม่มากตามเป้าหมาย ขณะที่สถาบันการเงินต่างๆ ไม่เพียงแค่ให้ความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐเท่านั้น หลายส่วนก็มีการออกมาตรการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการออกมาตรการทั้งตามนโยบายรัฐบาล และมาตรการเฉพาะของตัวเองในการให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาโดยตลอด และหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจของ ธอส. นั่นคือ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน!
สำหรับโครงการดังกล่าว คือ โครงการที่มุ่งให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างวินัยการเงิน และเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เรียกว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อต้องการส่งเสริม ส่งต่อ และเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ให้แก่ประชาชน ดังนั้นนอกจากความรู้เกี่ยวกับการกู้สินเชื่อบ้านแล้ว ธอส.ยังมุ่งให้ความรู้เรื่องการเงินในทุกด้านแก่ประชาชนอีกด้วย
โดยล่าสุด ธอส.ยังได้ยกระดับ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ขึ้นสู่ระบบดิจิทัล ผ่าน Application: GHB ALL GEN เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้มีรายได้น้อย, ผู้ที่มีอาชีพอิสระ, ผู้ที่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ชัดเจน, ผู้ที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ และนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีประวัติทางการเงินที่แน่นอน มาเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ ธอส. เพื่อออมเงินอย่างสม่ำเสมอผ่าน Application: GHB ALL GEN เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ทุกบัญชีรวมกัน) เพื่อนำหลักฐานการออมเงินดังกล่าวมาใช้สำหรับยื่นขอสินเชื่อกับ ธอส. และในอนาคต ธอส.ได้จัดเตรียมสินเชื่อในโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน โดยในปีนี่ตั้งเป้าหมายมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ 30,000 ราย
นอกจาก โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน แล้ว ธอส.ยังคงเดินหน้าจัดทำมาตรการในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเข้มข้นอีกด้วย ล่าสุดกับ "มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3)" ภายใต้กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยพุ่งเป้าหมายไปยังลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตัวเองไว้ได้ต่อไป
กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธอส. ระบุว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐ พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตัวเองไว้ ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงขานรับนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่
สำหรับ "มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) นั้น เพื่อช่วยหลือลูกหนี้กลุ่ม SM ซึ่งจะเป็นการช่วยลดจำนวน NPL ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ของธนาคารที่ยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้สามารถผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้ธนาคารต่อไปได้ โดยลูกค้ากลุ่ม SM ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จะได้รับความช่วยเหลือเดือนที่ 1-6 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน และเดือนที่ 7-9 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90%+100 บาท ส่วนเดือนที่ 10-12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90%+100 บาท กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) "การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส.ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ซึ่ง ธอส.ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้" กมลภพ กล่าว
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน 4 มาตรการ ขณะเดียวกัน ธอส.ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม "โครงการคุณสู้ เราช่วย" ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 ม.ค.2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พ.ย.2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ด้วย
หลังจาก ธอส.ได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์หนี้เสียของธนาคารในปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 4.95% จากที่คาดการณ์ว่าหนี้เสียจะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 6% ซึ่งตัวเลขหนี้เสียที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเครื่องสะท้อนความสำเร็จของ ธอส.ในการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้า ขณะที่แนวโน้มหนี้เสียในปี 2568 นั้น กมลภพ ยืนยันว่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 5% อย่างแน่นอน จากเป้าหมายที่ 5.13%
เนื่องจาก ธอส.ได้มีการสำรองหนี้เสียส่วนเกินมากพอสมควร ขณะที่งบดุล (Balance Sheet) แข็งแรงมาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญแต่อย่างใด ส่วนแผนการขายหนี้เสียในปี 2568 ยังไม่มี สำหรับการช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการคุณสู้ เราช่วยนั้น พบว่าปัจจุบันมีลูกค้าของ ธอส.ที่เข้าสู่โครงการแล้ว 22% ของกลุ่มเป้าหมาย แม้ว่าจะดูน้อย แต่ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้เข้าสู่มาตรการช่วยเหลือเฉพาะของ ธอส.ไปก่อนแล้ว ซึ่งธนาคารได้เปิดทางให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์โครงการคุณสู้ เราช่วยหรือไม่ หรือจะใช้มาตรการช่วยเหลือของ ธอส.ตามเดิม ส่วนลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง หรือมีปัญหา NPL ราว 3.3 แสนรายนั้น ธอส.เข้าถึงตัว/ติดต่อลูกหนี้ทุกรายเรียบร้อยแล้ว
แนวทางการบริหาร NPL ของ ธอส.ในปีนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นแก้หนี้เสียเองเป็นหลัก ส่วนลูกหนี้กลุ่มที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ (SM) นั้น ในปีนี้มีทิศทางที่ดีกว่าปีก่อนมาก สะท้อนจากภาพรวม 4 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) พบว่าปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการในการให้ความช่วยเหลือที่ธนาคารเร่งผลักดันออกมา ซึ่งช่วยเรื่องระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น ส่งผลให้ยอดผ่อนต่องวดลดลง ซึ่งส่งผลดีกับลูกหนี้กลุ่ม SM เป็นอย่างมาก
นอกจากการเร่งช่วยเหลือลูกหนี้ในการแก้ไขปัญหาหนี้ผ่านมาตรการต่างๆ ธอส.ยังเดินหน้าจัดทำมาตรการเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ด้วย ได้แก่ สินเชื่อบ้าน Premier Home: หนุนกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย วงเงินตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไปให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวดีขึ้น ภายใต้กรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1.79% ต่อปี กรณีลูกค้าที่มีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) หรือฟรีค่าจดจำนองสูงสุด 200,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดนาน 40 ปี
สินเชื่อซ่อม-แต่ง และสินเชื่อซ่อม-แต่ง Plus: เพิ่มเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยลูกค้าปัจจุบันของ ธอส.ที่มีการผ่อนชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีสม่ำเสมอทุกเดือนไม่น้อยกว่า 12 เดือน กรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ให้กู้เพิ่มรวมวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อราย โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี และอีก 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และปีที่ 4-5 เท่ากับ 3.50% ต่อปี
สำหรับ ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อาทิ รีโนเวทบ้านใหม่ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ หรือติดตั้ง Solar Roof ยื่นกู้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน
สินเชื่อ Pre Finance Premium: เพิ่มวงเงินสินเชื่อพัฒนา โครงการ (Pre Finance) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ทำเลยที่มีศักยภาพ 27 จังหวัด ที่ต้องการซื้อที่ดินก่อสร้างอาคาร พัฒนาสาธารณูปโภค และค้ำประกันที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดทำโครงการ อัตราดอกเบี้ยปีแรกเท่ากับ 3.90% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 4.40% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.60% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.30% ส่วนปีที่ 4-5 เท่ากับ MLR (อัตราดอกเบี้ย MLR ของ ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.10%)
กมลภพ กล่าวอีกว่า ธอส.มีแนวทางในการดำเนินงานของธนาคารในอนาคต ตามโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเป็น "ธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank)" โดยเน้นให้ความสำคัญกับการมีที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพของลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัย (Aging Society) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณพ์และบริการที่รองรับสังคมสูงวัย อาทิ โครงการบ้าน ธอส. สร้างสุขเพื่อผู้สูงวัย ปี 2568 ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.90% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.50% กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 40 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้น 4,600 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมบ้านตามแบบบ้านผู้สูงอายุ และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย
โครงการสินเชื่อ Aging Home ปี 2568 ที่ให้อัตราดอกเบี้ย คงที่ถึง 10 ปี เท่ากับ 4.25% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 52 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้น 4,000 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยต้องกู้ร่วมกับบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย พร้อมกับการขอกู้ในวัตถุประสงค์หลัก และชำระหนี้พร้อมรีไฟแนนซ์
นอกจากนี้ยังมี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage: RM) สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปี แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำที่อยู่อาศัยของตัวเองที่ปลอดจำนองมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ โดยไม่พิจารณารายได้ของผู้กู้ วงเงินให้กู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 10 ล้านบาท กรณีที่ดินพร้อมอาคารให้กู้ไม่เกิน 50% ของราคาประเมินที่ดินและอาคาร กรณีห้องชุดให้กู้ไม่เกิน 30% ของราคาประเมินห้องชุด อัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาการให้กู้สูงสุดไม่เกิน 25 ปี!!.
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ