อสังหาฯ ยุคแรงงานเขมรคืนถิ่น ไซต์ก่อสร้าง 5 แสนล้านเพิ่ม 'พม่า-OT' ทดแทน
วันที่ : 18 สิงหาคม 2568
สมาคมอาคารชุดไทย เปิดมุมมองว่า สถานการณ์ภาพรวม แรงงานเขมรกลับบ้านถือว่าถูกจังหวะกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ไม่สดใสในปีนี้ ถือเป็นโมเดลของการปรับสมดุลซัพพลาย-ดีมานด์อีกรูปแบบหนึ่ง
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม
ไตรมาส 3/68 เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีจุดเริ่มต้นเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา และสุกงอมจนทำให้เกิดปรากฏการณ์ "แรงงานเขมรคืนถิ่น" ครั้งสำคัญ โดยจุดเน้นของแรงงานประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในแรงงานประมงกับแรงงานก่อสร้าง 2 อันดับแรกในไทย
"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวผลกระทบแรงงานเขมรคืนถิ่น จะเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบต่อไซต์ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย การปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายที่ฝากถึงรัฐบาล
ไซต์กำลังก่อสร้าง 5 แสนล้าน
เปิดประเด็นโดย "ภัทรชัย ทวีวงศ์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จำกัด สำนักวิจัยอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ดัง ระบุว่า จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา ที่เริ่มทยอยเดินทางกลับประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างไทย โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยในเขตเมืองและปริมณฑล ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวสัดส่วนมากกว่า 70% ของแรงงานในไซต์ก่อสร้างทั้งหมด
สถิติปัจจุบัน มีโครงการอสังหาฯที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท หากวิกฤตแรงงานไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มีความเสี่ยงสูงที่โครงการเหล่านี้จะล่าช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะโครงการที่มีแผนส่งมอบในช่วงปี 2568-2570
ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องยาวนาน ถ้าหากโครงการก่อสร้างล่าช้าจากปัจจัยแรงงาน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการตัดสินใจซื้อของประชาชนในวงกว้าง จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล ดังนี้
1.เสนอให้รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2.การผ่อนปรนเงื่อนไขการทำงานชั่วคราวในบางกรณี 3.สำหรับธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการ หรือ Project Finance ควรพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น ขยาย Grace Period (ระยะเวลาปลอดหนี้) สำหรับการเบิกงวดเงินกู้ 4.พิจารณาเพิ่มวงเงินสำรองกรณีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้น โดยภาครัฐจัดตั้งกองทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนต้นทุนแรงงาน และ 5.การจัดหาแรงงานที่มีทักษะเข้าสู่ระบบอย่างเร่งด่วน
"หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 นี้ อุตสาหกรรมอสังหาฯอาจต้องเผชิญกับการชะลออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะ GDP ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงานในห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง พนักงานขาย ผู้ผลิตวัสดุ ไปจนถึงภาคการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจชะลอการลงทุนในโครงการอสังหาฯในระยะยาว"
พึ่งระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น
ถัดมา "สุนทร สถาพร" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน มีแรงงานที่อยู่ในภาคการก่อสร้าง 2 ล้านคน เป็นแรงงานไทย 1.5 ล้านคน แรงงานต่างด้าว 6 แสนคน ในจำนวนแรงงานต่างด้าวแบ่งเป็นแรงงานพม่ามากที่สุด 55% แรงงานกัมพูชา 25% หรือเกือบ 1.5 แสนคน แรงงานลาว 15% อยู่ที่ 9 หมื่นคน ที่เหลืออีก 5% มาจากแรงงานเวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ แตะ 3 หมื่นคน
โดยแรงงานไทย 1.5 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งฝ่ายบริหาร ช่างฝีมือ ผู้ควบคุมงาน งานระบบสาธารณูปโภค มากกว่าแรงงานทั่วไป เจาะลึกเฉพาะแรงงานกัมพูชา 1.5 แสนคน พบว่า ส่วนใหญ่ 60% อยู่ในไซต์ก่อสร้างบ้านแนวราบ กลุ่มงานโครงสร้าง งานสถาปัตย์ แต่ถ้าไซต์ก่อสร้างคอนโดมิเนียมเกิน 60% เป็นแรงงานพม่า
สำหรับผลกระทบมีมุมมองว่า ทาง IOM-International Organization for Migration สำรวจแรงงานเขมรคืนถิ่นภาพรวม 5 แสนคน โฟกัสเฉพาะแรงงานก่อสร้างคาดว่าอาจมีจำนวนกลับบ้านชั่วคราว 30,000-40,000 คน และคาดว่าส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในไทยเพราะยังมีงานทำ และมีรายได้ที่ดี รวมทั้งแรงงานที่กลับไปกัมพูชา ส่วนใหญ่ได้ติดต่อแจ้งความประสงค์อยากกลับมาไทยหากความขัดแย้งจบเร็ว เพราะไทยให้ค่าจ้างสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม หากแรงงานกัมพูชาไม่กลับมา ผลกระทบในระยะสั้นเรื่องขาดแคลนแรงงานพื้นฐาน อาทิ ก่ออิฐ เทปูน งานเหล็ก อาจหายไปบ้าง ทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นได้ หรือโครงการอาจล่าช้าลง แต่มีทางออกคือนำแรงงานพม่าและลาวเข้ามาทดแทน แต่พื้นที่ชายแดนตะวันออก (แรงงานเกษตร) อาจต้องใช้เวลาในการทดแทนนานหน่อย
ทางออกอีกทางหนึ่งของผู้ประกอบการคือการใช้เครื่องจักรทดแทน และเพิ่มการใช้โครงสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปมากขึ้น เช่น กำแพงผนัง Precast Prefab แผ่นพื้นสำเร็จรูป บันไดสำเร็จรูป โครงหลังคาสำเร็จรูปแบบ Smart Truss หรือระบบเสา คาน แบบ Skeleton เป็นต้น
"การใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น ถึงแม้ไม่มีวิกฤตชายแดน ก็เป็นทิศทางของวงการก่อสร้างไทยอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายการ Upskill วงการอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในนั้นคือการร่นระยะเวลาก่อสร้างซึ่งยังคงคุณภาพ ความมั่นคงแข็งแรง ความประณีตไว้เหมือนเดิม แต่อายุการใช้งานยาวนานขึ้น"
ในฐานะ CEO บริษัท สถาพร เอสเตท มีผู้รับเหมาหลัก 4-5 บริษัท สำหรับก่อสร้างโครงการบ้านแนวราบโดยแรงงานไทยเป็นระดับหัวหน้าและผู้ควบคุมงาน รวมทั้งผู้รับเหมาช่วง หรือ Subcontractor งานระบบไฟฟ้าและประปา ส่วนแรงงานกัมพูชาทำงานโครงสร้าง ขณะที่งานสถาปัตยกรรมจะใช้แรงงานพม่าและไทยใหญ่
"ตอนนี้แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ที่กลับประเทศไป กำลังหาทางกลับเข้ามาทำงานที่ไทยเช่นเดิม และมีแรงงานบางส่วนก็ไม่ได้กลับกัมพูชา"
สำหรับไซต์ก่อสร้างคอนโดฯ ในส่วนของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานประจำกับ Main Contractors (ผู้รับเหมาหลัก) มีใบอนุญาตทำงานในไทยอย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ไม่ได้กลับประเทศ ส่วนผู้รับเหมารายย่อยหรือคนงานมีบางส่วนที่กลับบ้านไป ซึ่งยังพอหาแรงงานทดแทนได้จากประเทศอื่น ๆ เช่น พม่า
"ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะนี้เราลดการผลิตซัพพลายใหม่ ๆ และชะลอการเปิดโครงการใหม่ด้วย ดังนั้น สรุปสถานการณ์โดยรวมเรื่องแรงงานเขมรกลับประเทศ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อไซต์ก่อสร้างของบริษัท ในเวลาเดียวกันเราก็เตรียมการผลิตใหม่ที่จะใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูป เป็นสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย"
แนะรัฐเพิ่มแรงงานเพื่อนบ้าน
สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐในการป้องกันและบรรเทาปัญหา ที่อาจเกิดกับการขาดแคลนแรงงานภาคการก่อสร้างในอนาคต มี 2 เรื่องหลัก
1.เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดรับแรงงานสัญชาติอื่นเข้ามา ทั้ง Myanmar และ Lao ลดความยุ่งยากหลายขั้นตอน แนวทางทำศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service เพื่อให้แรงงานเข้ามาได้โดยเร็ว และจัดฝึกอบรมฝีมือแรงงานก่อสร้างเป็นหลายระดับทักษะ เพื่อจัดชั้นฝีมือ และแยกแยะค่าแรงขั้นต่ำเป็นขั้นบันไดตามฝีมือที่แท้จริง
"ทุกวันนี้แรงงานไทยที่มีทักษะสูงกว่า เช่น งานใช้เครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างขั้นสูง เครื่องจี้ปูน เครื่องพ่นสี งานระบบสาธารณูปโภคอาคาร งานตกแต่ง งานประดับอาคาร งานควบคุม Robot งานประกอบโครงสร้างเหล็ก Auto Parking ฯลฯ จะได้ค่าแรงตามขั้นบันไดที่สูงขึ้น ตามคุณภาพฝีมือแรงงานด้วย"
2.สนับสนุนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง แล้วเผยแพร่ให้ผู้รับเหมาไทยทุกขนาด ทั้งผู้รับเหมารายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก เพื่อยกระดับ Upskill แรงงานฝีมือในภาพรวม
มองต่าง-เขมรกลับบ้านถูกจังหวะ
ถัดมา "ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดมุมมองว่า สถานการณ์ภาพรวม แรงงานเขมรกลับบ้านถือว่าถูกจังหวะกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ไม่สดใสในปีนี้ ถือเป็นโมเดลของการปรับสมดุลซัพพลาย-ดีมานด์อีกรูปแบบหนึ่ง โดยช่วงครึ่งปีแรก 2568 เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย มีบิ๊กดาต้าอสังหาฯ 2 เรื่องหลักที่เป็นตัวชี้วัด คือ ข้อมูลเปิดตัวบ้าน-คอนโดฯโครงการใหม่ ลดลงเฉลี่ย -50%
โดยครึ่งปีแรก 2567 มีหน่วยเปิดใหม่รวม 33,563 ยูนิต เทียบกับครึ่งปีแรก 2568 เหลือ 15,253 ยูนิต หดตัวแรง -55% ในด้านมูลค่าโครงการเปิดใหม่ ครึ่งปีแรก 2567 มูลค่ารวม 219,398 ล้านบาท เทียบกับครึ่งปีแรก 2568 เหลือ 106,943 ล้านบาท เท่ากับหดตัวถึง -51%
ตัวชี้วัดอีกรายการคือ ซัพพลายก่อสร้างเสร็จพร้อมโอน 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน 2568) ในด้านหน่วยมีจำนวนสร้างเสร็จ 84,980 ยูนิต ในด้านมูลค่าอยู่ที่ 232,412 ล้านบาท นั่นหมายความว่ามีไซต์ก่อสร้างว่างลง มีแรงงานก่อสร้างว่างงานลงเป็นเงาตามตัว
"ให้หยิบ 2 สถิตินี้มาชนกัน จะเห็นว่าซัพพลายเปิดใหม่ก็ลดลงครึ่งหนึ่ง ของเดิมที่มีงานทำก็สร้างเสร็จถึง 2 แสนกว่าล้านบาท แสดงให้เห็นภาวะคนล้นงาน และถ้าอยู่เมืองไทย แรงงานเขมรก็อาจไม่มีงานทำ หรือมีงานก่อสร้างน้อยลงอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าอยู่เมืองไทยก็เสี่ยงตกงาน กรณีกลับบ้านก็เพียงแต่ย้ายไปตกงานในบ้านเกิด รวมทั้งอย่าลืมว่าเขมรมีประชากรไม่เยอะ แรงงานในไซต์ก่อสร้างก็เลยเป็นสัดส่วนน้อยกว่า เทียบกับแรงงานพม่าที่มีประชากรเยอะกว่า 3 เท่า การจะเพิ่มแรงงานพม่าจึงเป็นทางเลือกที่ทำได้ทันที"
ภูเก็ตอยู่ไกล-เขมรถอดใจ
ถัดมา "กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ระบุว่า ไซต์ก่อสร้างของบริษัทในภูเก็ตมีแรงงานกัมพูชาน้อยมากอยู่ที่ 5% เท่านั้น เนื่องจากอยู่ไกลชายแดนจะมีปัญหาเรื่องระยะทางและค่าใช้จ่ายในการกลับบ้าน ปกติแรงงานเขมรเลือกใช้เส้นทางรถยนต์กลับบ้านผ่านชายแดนด้านจังหวัดภาคตะวันออกของไทยเป็นหลัก
ส่วนไซต์ก่อสร้างในกรุงเทพฯ มีคอนโดฯ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างรันโปรแกรมให้ก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนี้ ได้แก่ โครงการ Kave Wonderland จำนวน 1,424 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท กับ Modiz Avantgarde 751 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ASW มีผู้รับเหมารายใหญ่เป็นผู้รับเหมาหลักหลายราย ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการแรงงานก่อสร้าง โดยที่แรงงานกัมพูชาเป็นจำนวนน้อยไม่เกิน 20% ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับตัวรับมือ มีทั้งการเพิ่มจำนวนแรงงานพม่า และเพิ่มการทำงานล่วงเวลา หรือ OT-overtime ทดแทนในกรณีขาดแคลนแรงงานกัมพูชาจริง ๆ
"ทั้ง 2 ไซต์ก่อสร้างรายงานความคืบหน้าว่า เฉพาะแรงงานกัมพูชามีแจ้งขอกลับประเทศเพียง 20 คน ส่วนที่เหลือมีการย้ายไซต์ก่อสร้างที่ไม่มี OT มากกว่า ไม่ใช่การกลับประเทศแต่เป็นการย้ายไซต์ก่อสร้างในไทย ทำให้มั่นใจว่าไทม์ไลน์กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จยังรักษาเป้าเดิมเพื่อจะได้ส่งมอบให้กับลูกค้าภายในปีนี้"
พร้อมดึงแรงงานพม่าเสียบแทน
สุดท้ายกับ "วิโรจน์ เจริญตรา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันพรีบิลท์มี 11 ไซต์ก่อสร้างโครงการตึกสูง มีการใช้แรงงานก่อสร้างรวม 4,000-5,000 คน ในจำนวนนี้มีแรงงานไทยน้อยมากเพียง 10% ที่เหลือเป็นแรงงานต่างด้าว และในจำนวนแรงงานต่างด้าวก็เป็นแรงงานพม่ามากถึง 80% แรงงานกัมพูชาเพียง 20% หากกลับบ้านทั้งหมดก็สามารถเพิ่มการใช้แรงงานพม่าทดแทนได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แรงงานกัมพูชาสมัครใจอยู่ทำงานต่อในไทย เพราะมีรายได้มั่นคง เพียงแต่อาจมีข้อกังวลเรื่องความตึงเครียดของสงครามชายแดน กลัวปัญหาการกระทบกระทั่งกับประชาชนคนไทย บริษัทจึงดูแลให้อยู่ในแคมป์คนงานในไซต์ก่อสร้าง มีการจัดหารถเร่ ส่งเสบียงเข้าไปโดยไม่ต้องออกจากแคมป์ รูปแบบเดียวกับการปิดแคมป์ในยุคโควิด
"ปัญหาไทย-กัมพูชาตอนนี้หวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว และมีความหวังว่าจะไม่บานปลาย ซึ่งแรงงานเขมรที่เขาสมัครใจอยู่ต่อ เพราะเขาไม่รู้จะกลับไปทำอะไร กลับบ้านไปเขาก็กลัวไม่มีงานรองรับ"
ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม
ไตรมาส 3/68 เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีจุดเริ่มต้นเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา และสุกงอมจนทำให้เกิดปรากฏการณ์ "แรงงานเขมรคืนถิ่น" ครั้งสำคัญ โดยจุดเน้นของแรงงานประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในแรงงานประมงกับแรงงานก่อสร้าง 2 อันดับแรกในไทย
"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวผลกระทบแรงงานเขมรคืนถิ่น จะเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบต่อไซต์ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย การปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายที่ฝากถึงรัฐบาล
ไซต์กำลังก่อสร้าง 5 แสนล้าน
เปิดประเด็นโดย "ภัทรชัย ทวีวงศ์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จำกัด สำนักวิจัยอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ดัง ระบุว่า จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา ที่เริ่มทยอยเดินทางกลับประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างไทย โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยในเขตเมืองและปริมณฑล ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวสัดส่วนมากกว่า 70% ของแรงงานในไซต์ก่อสร้างทั้งหมด
สถิติปัจจุบัน มีโครงการอสังหาฯที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท หากวิกฤตแรงงานไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มีความเสี่ยงสูงที่โครงการเหล่านี้จะล่าช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะโครงการที่มีแผนส่งมอบในช่วงปี 2568-2570
ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องยาวนาน ถ้าหากโครงการก่อสร้างล่าช้าจากปัจจัยแรงงาน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการตัดสินใจซื้อของประชาชนในวงกว้าง จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล ดังนี้
1.เสนอให้รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2.การผ่อนปรนเงื่อนไขการทำงานชั่วคราวในบางกรณี 3.สำหรับธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการ หรือ Project Finance ควรพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น ขยาย Grace Period (ระยะเวลาปลอดหนี้) สำหรับการเบิกงวดเงินกู้ 4.พิจารณาเพิ่มวงเงินสำรองกรณีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้น โดยภาครัฐจัดตั้งกองทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนต้นทุนแรงงาน และ 5.การจัดหาแรงงานที่มีทักษะเข้าสู่ระบบอย่างเร่งด่วน
"หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 นี้ อุตสาหกรรมอสังหาฯอาจต้องเผชิญกับการชะลออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะ GDP ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงานในห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง พนักงานขาย ผู้ผลิตวัสดุ ไปจนถึงภาคการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจชะลอการลงทุนในโครงการอสังหาฯในระยะยาว"
พึ่งระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น
ถัดมา "สุนทร สถาพร" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน มีแรงงานที่อยู่ในภาคการก่อสร้าง 2 ล้านคน เป็นแรงงานไทย 1.5 ล้านคน แรงงานต่างด้าว 6 แสนคน ในจำนวนแรงงานต่างด้าวแบ่งเป็นแรงงานพม่ามากที่สุด 55% แรงงานกัมพูชา 25% หรือเกือบ 1.5 แสนคน แรงงานลาว 15% อยู่ที่ 9 หมื่นคน ที่เหลืออีก 5% มาจากแรงงานเวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ แตะ 3 หมื่นคน
โดยแรงงานไทย 1.5 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งฝ่ายบริหาร ช่างฝีมือ ผู้ควบคุมงาน งานระบบสาธารณูปโภค มากกว่าแรงงานทั่วไป เจาะลึกเฉพาะแรงงานกัมพูชา 1.5 แสนคน พบว่า ส่วนใหญ่ 60% อยู่ในไซต์ก่อสร้างบ้านแนวราบ กลุ่มงานโครงสร้าง งานสถาปัตย์ แต่ถ้าไซต์ก่อสร้างคอนโดมิเนียมเกิน 60% เป็นแรงงานพม่า
สำหรับผลกระทบมีมุมมองว่า ทาง IOM-International Organization for Migration สำรวจแรงงานเขมรคืนถิ่นภาพรวม 5 แสนคน โฟกัสเฉพาะแรงงานก่อสร้างคาดว่าอาจมีจำนวนกลับบ้านชั่วคราว 30,000-40,000 คน และคาดว่าส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในไทยเพราะยังมีงานทำ และมีรายได้ที่ดี รวมทั้งแรงงานที่กลับไปกัมพูชา ส่วนใหญ่ได้ติดต่อแจ้งความประสงค์อยากกลับมาไทยหากความขัดแย้งจบเร็ว เพราะไทยให้ค่าจ้างสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม หากแรงงานกัมพูชาไม่กลับมา ผลกระทบในระยะสั้นเรื่องขาดแคลนแรงงานพื้นฐาน อาทิ ก่ออิฐ เทปูน งานเหล็ก อาจหายไปบ้าง ทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นได้ หรือโครงการอาจล่าช้าลง แต่มีทางออกคือนำแรงงานพม่าและลาวเข้ามาทดแทน แต่พื้นที่ชายแดนตะวันออก (แรงงานเกษตร) อาจต้องใช้เวลาในการทดแทนนานหน่อย
ทางออกอีกทางหนึ่งของผู้ประกอบการคือการใช้เครื่องจักรทดแทน และเพิ่มการใช้โครงสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปมากขึ้น เช่น กำแพงผนัง Precast Prefab แผ่นพื้นสำเร็จรูป บันไดสำเร็จรูป โครงหลังคาสำเร็จรูปแบบ Smart Truss หรือระบบเสา คาน แบบ Skeleton เป็นต้น
"การใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น ถึงแม้ไม่มีวิกฤตชายแดน ก็เป็นทิศทางของวงการก่อสร้างไทยอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายการ Upskill วงการอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในนั้นคือการร่นระยะเวลาก่อสร้างซึ่งยังคงคุณภาพ ความมั่นคงแข็งแรง ความประณีตไว้เหมือนเดิม แต่อายุการใช้งานยาวนานขึ้น"
ในฐานะ CEO บริษัท สถาพร เอสเตท มีผู้รับเหมาหลัก 4-5 บริษัท สำหรับก่อสร้างโครงการบ้านแนวราบโดยแรงงานไทยเป็นระดับหัวหน้าและผู้ควบคุมงาน รวมทั้งผู้รับเหมาช่วง หรือ Subcontractor งานระบบไฟฟ้าและประปา ส่วนแรงงานกัมพูชาทำงานโครงสร้าง ขณะที่งานสถาปัตยกรรมจะใช้แรงงานพม่าและไทยใหญ่
"ตอนนี้แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ที่กลับประเทศไป กำลังหาทางกลับเข้ามาทำงานที่ไทยเช่นเดิม และมีแรงงานบางส่วนก็ไม่ได้กลับกัมพูชา"
สำหรับไซต์ก่อสร้างคอนโดฯ ในส่วนของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานประจำกับ Main Contractors (ผู้รับเหมาหลัก) มีใบอนุญาตทำงานในไทยอย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ไม่ได้กลับประเทศ ส่วนผู้รับเหมารายย่อยหรือคนงานมีบางส่วนที่กลับบ้านไป ซึ่งยังพอหาแรงงานทดแทนได้จากประเทศอื่น ๆ เช่น พม่า
"ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะนี้เราลดการผลิตซัพพลายใหม่ ๆ และชะลอการเปิดโครงการใหม่ด้วย ดังนั้น สรุปสถานการณ์โดยรวมเรื่องแรงงานเขมรกลับประเทศ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อไซต์ก่อสร้างของบริษัท ในเวลาเดียวกันเราก็เตรียมการผลิตใหม่ที่จะใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูป เป็นสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย"
แนะรัฐเพิ่มแรงงานเพื่อนบ้าน
สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐในการป้องกันและบรรเทาปัญหา ที่อาจเกิดกับการขาดแคลนแรงงานภาคการก่อสร้างในอนาคต มี 2 เรื่องหลัก
1.เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดรับแรงงานสัญชาติอื่นเข้ามา ทั้ง Myanmar และ Lao ลดความยุ่งยากหลายขั้นตอน แนวทางทำศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service เพื่อให้แรงงานเข้ามาได้โดยเร็ว และจัดฝึกอบรมฝีมือแรงงานก่อสร้างเป็นหลายระดับทักษะ เพื่อจัดชั้นฝีมือ และแยกแยะค่าแรงขั้นต่ำเป็นขั้นบันไดตามฝีมือที่แท้จริง
"ทุกวันนี้แรงงานไทยที่มีทักษะสูงกว่า เช่น งานใช้เครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างขั้นสูง เครื่องจี้ปูน เครื่องพ่นสี งานระบบสาธารณูปโภคอาคาร งานตกแต่ง งานประดับอาคาร งานควบคุม Robot งานประกอบโครงสร้างเหล็ก Auto Parking ฯลฯ จะได้ค่าแรงตามขั้นบันไดที่สูงขึ้น ตามคุณภาพฝีมือแรงงานด้วย"
2.สนับสนุนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง แล้วเผยแพร่ให้ผู้รับเหมาไทยทุกขนาด ทั้งผู้รับเหมารายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก เพื่อยกระดับ Upskill แรงงานฝีมือในภาพรวม
มองต่าง-เขมรกลับบ้านถูกจังหวะ
ถัดมา "ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดมุมมองว่า สถานการณ์ภาพรวม แรงงานเขมรกลับบ้านถือว่าถูกจังหวะกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ไม่สดใสในปีนี้ ถือเป็นโมเดลของการปรับสมดุลซัพพลาย-ดีมานด์อีกรูปแบบหนึ่ง โดยช่วงครึ่งปีแรก 2568 เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย มีบิ๊กดาต้าอสังหาฯ 2 เรื่องหลักที่เป็นตัวชี้วัด คือ ข้อมูลเปิดตัวบ้าน-คอนโดฯโครงการใหม่ ลดลงเฉลี่ย -50%
โดยครึ่งปีแรก 2567 มีหน่วยเปิดใหม่รวม 33,563 ยูนิต เทียบกับครึ่งปีแรก 2568 เหลือ 15,253 ยูนิต หดตัวแรง -55% ในด้านมูลค่าโครงการเปิดใหม่ ครึ่งปีแรก 2567 มูลค่ารวม 219,398 ล้านบาท เทียบกับครึ่งปีแรก 2568 เหลือ 106,943 ล้านบาท เท่ากับหดตัวถึง -51%
ตัวชี้วัดอีกรายการคือ ซัพพลายก่อสร้างเสร็จพร้อมโอน 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน 2568) ในด้านหน่วยมีจำนวนสร้างเสร็จ 84,980 ยูนิต ในด้านมูลค่าอยู่ที่ 232,412 ล้านบาท นั่นหมายความว่ามีไซต์ก่อสร้างว่างลง มีแรงงานก่อสร้างว่างงานลงเป็นเงาตามตัว
"ให้หยิบ 2 สถิตินี้มาชนกัน จะเห็นว่าซัพพลายเปิดใหม่ก็ลดลงครึ่งหนึ่ง ของเดิมที่มีงานทำก็สร้างเสร็จถึง 2 แสนกว่าล้านบาท แสดงให้เห็นภาวะคนล้นงาน และถ้าอยู่เมืองไทย แรงงานเขมรก็อาจไม่มีงานทำ หรือมีงานก่อสร้างน้อยลงอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าอยู่เมืองไทยก็เสี่ยงตกงาน กรณีกลับบ้านก็เพียงแต่ย้ายไปตกงานในบ้านเกิด รวมทั้งอย่าลืมว่าเขมรมีประชากรไม่เยอะ แรงงานในไซต์ก่อสร้างก็เลยเป็นสัดส่วนน้อยกว่า เทียบกับแรงงานพม่าที่มีประชากรเยอะกว่า 3 เท่า การจะเพิ่มแรงงานพม่าจึงเป็นทางเลือกที่ทำได้ทันที"
ภูเก็ตอยู่ไกล-เขมรถอดใจ
ถัดมา "กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ระบุว่า ไซต์ก่อสร้างของบริษัทในภูเก็ตมีแรงงานกัมพูชาน้อยมากอยู่ที่ 5% เท่านั้น เนื่องจากอยู่ไกลชายแดนจะมีปัญหาเรื่องระยะทางและค่าใช้จ่ายในการกลับบ้าน ปกติแรงงานเขมรเลือกใช้เส้นทางรถยนต์กลับบ้านผ่านชายแดนด้านจังหวัดภาคตะวันออกของไทยเป็นหลัก
ส่วนไซต์ก่อสร้างในกรุงเทพฯ มีคอนโดฯ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างรันโปรแกรมให้ก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนี้ ได้แก่ โครงการ Kave Wonderland จำนวน 1,424 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท กับ Modiz Avantgarde 751 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ASW มีผู้รับเหมารายใหญ่เป็นผู้รับเหมาหลักหลายราย ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการแรงงานก่อสร้าง โดยที่แรงงานกัมพูชาเป็นจำนวนน้อยไม่เกิน 20% ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับตัวรับมือ มีทั้งการเพิ่มจำนวนแรงงานพม่า และเพิ่มการทำงานล่วงเวลา หรือ OT-overtime ทดแทนในกรณีขาดแคลนแรงงานกัมพูชาจริง ๆ
"ทั้ง 2 ไซต์ก่อสร้างรายงานความคืบหน้าว่า เฉพาะแรงงานกัมพูชามีแจ้งขอกลับประเทศเพียง 20 คน ส่วนที่เหลือมีการย้ายไซต์ก่อสร้างที่ไม่มี OT มากกว่า ไม่ใช่การกลับประเทศแต่เป็นการย้ายไซต์ก่อสร้างในไทย ทำให้มั่นใจว่าไทม์ไลน์กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จยังรักษาเป้าเดิมเพื่อจะได้ส่งมอบให้กับลูกค้าภายในปีนี้"
พร้อมดึงแรงงานพม่าเสียบแทน
สุดท้ายกับ "วิโรจน์ เจริญตรา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันพรีบิลท์มี 11 ไซต์ก่อสร้างโครงการตึกสูง มีการใช้แรงงานก่อสร้างรวม 4,000-5,000 คน ในจำนวนนี้มีแรงงานไทยน้อยมากเพียง 10% ที่เหลือเป็นแรงงานต่างด้าว และในจำนวนแรงงานต่างด้าวก็เป็นแรงงานพม่ามากถึง 80% แรงงานกัมพูชาเพียง 20% หากกลับบ้านทั้งหมดก็สามารถเพิ่มการใช้แรงงานพม่าทดแทนได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แรงงานกัมพูชาสมัครใจอยู่ทำงานต่อในไทย เพราะมีรายได้มั่นคง เพียงแต่อาจมีข้อกังวลเรื่องความตึงเครียดของสงครามชายแดน กลัวปัญหาการกระทบกระทั่งกับประชาชนคนไทย บริษัทจึงดูแลให้อยู่ในแคมป์คนงานในไซต์ก่อสร้าง มีการจัดหารถเร่ ส่งเสบียงเข้าไปโดยไม่ต้องออกจากแคมป์ รูปแบบเดียวกับการปิดแคมป์ในยุคโควิด
"ปัญหาไทย-กัมพูชาตอนนี้หวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว และมีความหวังว่าจะไม่บานปลาย ซึ่งแรงงานเขมรที่เขาสมัครใจอยู่ต่อ เพราะเขาไม่รู้จะกลับไปทำอะไร กลับบ้านไปเขาก็กลัวไม่มีงานรองรับ"