ปักธงนิคมอัจฉริยะ 2หมื่นล้าน 'อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์' เชื่อมทำเลสู่ EEC
วันที่ : 10 กันยายน 2568
"ปักธงนิคมอัจฉริยะแห่งแรกของไทย "อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์" บนทำเลบางนา-ตราด กม.32 เชื่อม EEC ดึงดูดทุนโลกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอนาคต"
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง จากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) โครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ (ARAYA The Eastern Gateway) กำลังสร้างความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาครั้งใหญ่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ด้วยการพลิกที่ดินประวัติศาสตร์สู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะแห่งแรกของไทย พร้อมเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และก้าวสู่การเป็นเมืองศูนย์กลางนวัตกรรมและอุตสาหกรรม
โครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันของสามบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย, สวนอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย พร้อมกับแนวคิดที่แตกต่างจากนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป โครงการนี้ถูกวางรากฐานให้เป็นมากกว่าแค่พื้นที่สำหรับตั้งโรงงาน แต่คือการสร้าง "ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจร" (Industrial-Tech Eco system) โดยมีนายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นผู้นำวิสัยทัศน์ปักหมุดโครงการนี้ เพื่อพลิกผืนดินประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยอนาคต ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาทบนพื้นที่กว่า 4,600 ไร่
ความโดดเด่นของโครงการอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนบางนา-ตราด กม. 32 จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของภาคตะวันออก โครงการนี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ใช้เวลา 50 นาทีจากย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะทำให้โครงการนี้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่รองรับการขนส่งได้อย่างครอบคลุมทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนระดับโลกให้ความสำคัญสูงสุด
การออกแบบโครงการของ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ถูกแบ่งออกเป็น 6 โซนหลักที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ตั้งแต่โซนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลงทุน โซนสำหรับบริษัทด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงโซนคลังสินค้าและโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวสูง และนอกจากนี้ สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการสร้างสรรค์โซนที่นอกเหนือจากแค่ธุรกิจ แต่เป็นโซน Lifestyle & Amenities สำหรับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร รวมถึงโซน Residential Project ที่กำลังจะพัฒนาเพื่อรองรับที่อยู่อาศัยของบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหาร สะท้อนถึงแนวคิดการสร้างเมืองที่ครบวงจรและตอบสนองความต้องการของผู้คนในทุกมิติ
หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือกลยุทธ์ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ที่มุ่งตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต การพัฒนาจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การติดตั้งเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะที่ครอบคลุมใน 7 มิติหลักที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การบริหารจัดการสาธารณูปโภคอย่างชาญฉลาด (Smart Facilities) การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ทันสมัย (Smart IT) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน (Smart Energy) การส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Smart Economy) การกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ (Smart Governance) การยกระดับคุณภาพชีวิต(Smart Living) และการพัฒนาบุคลากร (Smart Workforce) ทั้งหมดนี้ถูกผสานรวมผ่านแพลตฟอร์ม One-Stop Service ที่เป็นหัวใจสำคัญในการอำนวยความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการ
เพื่อรองรับวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลนี้ โครงการได้สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคชั้นนำของประเทศ ทั้งในด้านพลังงานกับกลุ่ม ปตท. เพื่อรับประกันความมั่นคงทางพลังงาน ด้านการสื่อสารกับ เอไอเอส ในการพัฒนาโครงข่าย 5G และ Fiber Optic ที่รองรับการใช้งานด้านข้อมูลจำนวนมหาศาล และด้านระบบไฟฟ้ากับ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อให้มั่นใจในความเสถียรของระบบอย่างสูงสุด ความร่วมมือเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้สำหรับผู้ประกอบการ
นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว การพัฒนาที่ยั่งยืนยังเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่โครงการนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง มีการออกแบบเมืองโดยคำนึงถึงการจัดการน้ำ (Water Sensitive Urban Design) เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและพื้นที่ว่าง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้กับทุกภาคส่วน
จากศักยภาพอันโดดเด่นนี้เองที่ทำให้อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ดึงดูดบริษัทชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาลงทุนในโครงการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่าง บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ ไปจนถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่าง มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลหลายบริษัท ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าเชื่อถือของโครงการ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคได้ในอนาคต
การพัฒนาโครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างอนาคตให้กับเศรษฐกิจไทย สอดคล้องกับคากล่าวของ นางสาวกมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ได้กล่าวถึงบทบาทของโครงการว่า "อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่อุตสาหกรรม แต่คือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมไทย เราเชื่อมั่นในบทบาทของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เชื่อมต่อทุกภาคส่วนตั้งแต่เทคโนโลยีขั้นสูงไปจนถึงคุณภาพชีวิตของผู้คน และพร้อมเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนที่มองไกลกว่าความสำเร็จระยะสั้น"
โครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันของสามบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย, สวนอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย พร้อมกับแนวคิดที่แตกต่างจากนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป โครงการนี้ถูกวางรากฐานให้เป็นมากกว่าแค่พื้นที่สำหรับตั้งโรงงาน แต่คือการสร้าง "ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจร" (Industrial-Tech Eco system) โดยมีนายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นผู้นำวิสัยทัศน์ปักหมุดโครงการนี้ เพื่อพลิกผืนดินประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยอนาคต ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาทบนพื้นที่กว่า 4,600 ไร่
ความโดดเด่นของโครงการอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนบางนา-ตราด กม. 32 จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของภาคตะวันออก โครงการนี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ใช้เวลา 50 นาทีจากย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะทำให้โครงการนี้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่รองรับการขนส่งได้อย่างครอบคลุมทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนระดับโลกให้ความสำคัญสูงสุด
การออกแบบโครงการของ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ถูกแบ่งออกเป็น 6 โซนหลักที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ตั้งแต่โซนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลงทุน โซนสำหรับบริษัทด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงโซนคลังสินค้าและโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวสูง และนอกจากนี้ สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการสร้างสรรค์โซนที่นอกเหนือจากแค่ธุรกิจ แต่เป็นโซน Lifestyle & Amenities สำหรับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร รวมถึงโซน Residential Project ที่กำลังจะพัฒนาเพื่อรองรับที่อยู่อาศัยของบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหาร สะท้อนถึงแนวคิดการสร้างเมืองที่ครบวงจรและตอบสนองความต้องการของผู้คนในทุกมิติ
หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือกลยุทธ์ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ที่มุ่งตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต การพัฒนาจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การติดตั้งเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะที่ครอบคลุมใน 7 มิติหลักที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การบริหารจัดการสาธารณูปโภคอย่างชาญฉลาด (Smart Facilities) การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ทันสมัย (Smart IT) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน (Smart Energy) การส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Smart Economy) การกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ (Smart Governance) การยกระดับคุณภาพชีวิต(Smart Living) และการพัฒนาบุคลากร (Smart Workforce) ทั้งหมดนี้ถูกผสานรวมผ่านแพลตฟอร์ม One-Stop Service ที่เป็นหัวใจสำคัญในการอำนวยความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการ
เพื่อรองรับวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลนี้ โครงการได้สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคชั้นนำของประเทศ ทั้งในด้านพลังงานกับกลุ่ม ปตท. เพื่อรับประกันความมั่นคงทางพลังงาน ด้านการสื่อสารกับ เอไอเอส ในการพัฒนาโครงข่าย 5G และ Fiber Optic ที่รองรับการใช้งานด้านข้อมูลจำนวนมหาศาล และด้านระบบไฟฟ้ากับ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อให้มั่นใจในความเสถียรของระบบอย่างสูงสุด ความร่วมมือเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้สำหรับผู้ประกอบการ
นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว การพัฒนาที่ยั่งยืนยังเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่โครงการนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง มีการออกแบบเมืองโดยคำนึงถึงการจัดการน้ำ (Water Sensitive Urban Design) เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและพื้นที่ว่าง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้กับทุกภาคส่วน
จากศักยภาพอันโดดเด่นนี้เองที่ทำให้อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ดึงดูดบริษัทชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาลงทุนในโครงการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่าง บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ ไปจนถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่าง มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลหลายบริษัท ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าเชื่อถือของโครงการ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคได้ในอนาคต
การพัฒนาโครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างอนาคตให้กับเศรษฐกิจไทย สอดคล้องกับคากล่าวของ นางสาวกมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ได้กล่าวถึงบทบาทของโครงการว่า "อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่อุตสาหกรรม แต่คือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมไทย เราเชื่อมั่นในบทบาทของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เชื่อมต่อทุกภาคส่วนตั้งแต่เทคโนโลยีขั้นสูงไปจนถึงคุณภาพชีวิตของผู้คน และพร้อมเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนที่มองไกลกว่าความสำเร็จระยะสั้น"
ข่าวเขตเศรษฐกิจพิเศษ อื่นๆ