A5 กางแผน 3 ปี เปิด 5 โครงการ มูลค่า 6,130 ล้าน
Loading

A5 กางแผน 3 ปี เปิด 5 โครงการ มูลค่า 6,130 ล้าน

วันที่ : 9 ตุลาคม 2568
A5 กางแผน 3 ปี (ปี 69-71) เดินหน้าพัฒนาแนวราบระดับลักซ์ชัวรี่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,130 ล้านบาท เตรียมเปิดขายแบรนด์ใหม่ “แซงเคียม กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 1,370 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 65-130 ล้านบาท ในวันที่ 18–19 ต.ค.นี้
       
    นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า บริษัทยังคงขับเคลื่อนองค์กรด้วยกลยุทธ์ “Strategic Location” พัฒนาโครงการในทำเลที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว พร้อมเดินหน้าแผน 3 ปี (ปี 2569–2571) เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบระดับลักซ์ชัวรี่รวม 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,130 ล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับบน ซึ่งมีพื้นที่รองรับแล้วอยู่ในโซนกรุงเทพฯ ทั้งหมด เช่น พัฒนาการ เลียบทางด่วน วัชรพล และกรุงเทพกรีฑา เป็นตัน โดยจะทำให้บริษัทมีโครงการรวม 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20,560 ล้านบาท ภายในปี 2571

    ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา A5 สร้างผลงานเด่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Cinq Royal Krungthep Kreetha มูลค่า 3,500 ล้านบาท ที่ขายหมด และโอนกรรมสิทธิ์ครบทุกยูนิตภายในเวลาเพียง 2 ปี 9 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นใน   แบรนด์ รวมถึงโครงการ VANA Ratchapruek–Westville และ Cinq Royal The Eighteen Bangna KM.7 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และล่าสุดเตรียมต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Cinqui?me Krungthep Kreetha” (แซงเคียม กรุงเทพกรีฑา) Private Pool Villa ระดับลักซ์ชัวรี่มีความเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเพียง 16 ยูนิต มูลค่า 1,370 ล้านบาท

    สำหรับโครงการ Cinqui?me Krungthep Kreetha ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านกรุงเทพกรีฑา ที่กำลังกลายเป็นทำเลศักยภาพของกลุ่มบ้านหรูระดับบน และเตรียมเปิด Pre-sale อย่างเป็นทางการวันที่ 18–19 ตุลาคม 2568 ด้วยราคาเริ่มต้น 65-130 ล้านบาท โดยโครงการนี้ A5 ออกแบบโครงการนี้ภายใต้แนวคิด “The Fifth Dimension of Privacy Living” โดยแต่ละหลังออกแบบเป็น Grand Pool Villa ขนาดใหญ่พร้อมลิฟต์ส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 655–805 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งแบบบ้านแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Majest?: พื้นที่ใช้สอย 805 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 5 ที่จอดรถ และ Maison Priv?e : พื้นที่ใช้สอย 655 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ

    ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายผลักดันรายได้รวมให้ได้ใกล้เคียงปี 2567 ที่มีรายได้รวมประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกสามารถทำได้แล้ว 700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 101.23 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 37.54% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน และความแข็งแกร่งของความต้องการ (ดีมานด์) ในตลาดบ้านหรู  นอกจากนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 436 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 เป็นต้นไป

    ส่วนอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) อยู่ที่ 3.09 เท่า สูงกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำ 2.50 เท่า แสดงถึงฐานะทางการเงินที่มั่นคง  ขณะที่อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) 1 เท่า และมีอัตราหนี้สินต่อทุน (DE Ratio) 1.42 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับปลอดภัยต่อการเติบโตระยะยาว

    นายศุภโชค กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568  มูลค่าราว 300-400 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนระยะสั้น อายุ 1 ปี 9 เดือน เนื่องจากต้องการเปิดให้นักลงทุนที่สนใจ หลังออกหุ้นกู้รอบแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มียอดจองซื้อเกินจำนวนค่อนข้างมาก พร้อมได้เตรียมวงเงินประมาณ 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับการคืนหุ้นกู้ครบกำหนดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 และในช่วงต้นปี 2569

    นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา และเจรจาเข้าลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม, แวร์เฮ้าส์ และอื่น ๆ ในพื้นที่หัวเมืองหลัก ภายใต้กรอบวงเงิน 500-600 ล้านบาท เพื่อต้องการสร้างฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) มาเสริมความสมดุลให้ได้ 1 ส่วน 4 ของรายได้รวม หรือประมาณ 25% ภายใน 3 ปี (ปี 2569-2571) เนื่องจากการเติบโตจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวเป็นไปได้ค่อนข้างลำบากในภาวะตลาดที่ซบเซา อย่างไรก็ตามบริษัทจะลงทุนภายใต้ความรอบคอบ และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้น หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ