โจทย์ใหญ่หนี้ครัวเรือน ฟื้นชำระหนี้-เข้าถึงสินเชื่อ
วันที่ : 1 ธันวาคม 2568
ธปท.คาดหนี้ครัวเรือนไตรมาส 4/2568 ลดเหลือ 86.6% ต่อจีดีพี แต่ NPL และ Stage 2 ยังเพิ่มต่อเนื่องขณะที่รายได้ฟื้นช้า ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เตือนปลายปี 2569 ยังไม่ถึงระดับยั่งยืน 80%
'หนี้ครัวเรือนไทย' ยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายหลักของระบบเศรษฐกิจ แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเริ่มลดลงต่อเนื่องหลังผ่านจุดสูงสุดแล้ว โดยไตรมาส 2 ปี 2568 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 86.8%ลดลงจาก 87.1% ในไตรมาสแรกซึ่งเป็นผลจากการก่อหนี้ใหม่ที่ชะลอตัวลงเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ความเปราะบางยังคงอยู่ โดยเฉพาะในมิติของ "ความสามารถชำระหนี้" และ "คุณภาพสินเชื่อ" ที่เริ่มส่งสัญญาณน่ากังวล สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (Stage 2) ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง
อีกด้านหนึ่ง ผลประกอบการของภาคธุรกิจหลายประเภทชะลอลงอย่างชัดเจน เห็นได้จากอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin : OPM) ที่ลดลงเกือบทุกกลุ่ม ตั้งแต่ภาคการผลิตอยู่ที่ 6.38% ธุรกิจบริการอื่นๆ 7.65%ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 4.69% และภาพรวมอยู่ที่ 6.41%โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว ส่งผลต่อความสามารถในการหารายได้และการชำระคืนหนี้ของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ประเมินว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 4 ปีนี้ มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.6% จาก 86.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยคำนวณจากฐานข้อมูลสินเชื่อและตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 1.2%
การที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงพฤติกรรมของทั้งฝั่งผู้ปล่อยสินเชื่อและผู้กู้ฝั่งสถาบันการเงินมีแนวโน้มเลือกปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีศักยภาพมากขึ้น ขณะที่ครัวเรือนเองเริ่มระมัดระวังการก่อหนี้มากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน
สำหรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย 35% สินเชื่อส่วนบุคคล 26% สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ 18% สินเชื่อรถยนต์ 9% บัตรเครดิต 3% และอื่น ๆ 9% โดยภาพรวมหนี้ครัวเรือนจากระดับสูงสุดกว่า 95.5% ในไตรมาส 1 ปี 2564 ได้ทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการลดหนี้
ขณะที่หนี้ภาคธุรกิจต่อจีดีพีก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 81.3% ลดลงจาก 81.6% ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับมุมมองของดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหาร งานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดที่ระบุว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทยในปีนี้มีทิศทางทรงตัวถึงปรับลดลง โดยสินเชื่อครัวเรือนหลายประเภทอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผู้กู้ชะลอการตัดสินใจก่อหนี้ใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินเชื่อบางประเภทที่ขยายตัวได้บ้าง เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันอื่น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2568 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะอยู่ที่ประมาณ 86.5% และในระยะข้างหน้า ความเสี่ยงสำคัญยังคง อยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ยังล่าช้าและไม่ต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อทั้งความสามารถในการชำระคืนหนี้และการก่อหนี้ใหม่ และมีแนวโน้มภาพเช่นนี้จะยืดไปถึงปีหน้า
ในเชิงโครงสร้าง แม้หนี้ครัวเรือนของไทยปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ยังไม่เข้าสู่ระดับที่ยั่งยืน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จนถึงปลายปี 2569 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังคงสูงกว่า 80% ซึ่งเป็นระดับที่ Bank for International Settlement (BIS) มองว่าเป็นจุดยั่งยืน
ด้านการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป ต้องเดินหน้าควบคู่ทั้งสองด้าน คือ การฟื้นความสามารถในการชำระคืนหนี้ และการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" รวมถึงมาตรการแก้หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" เพื่อบรรเทาภาระและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากสถาบันการเงินต้องพิจารณาความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างรอบคอบภายใต้หลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending : RL) ทำให้ผู้กู้ที่มีภาระหนี้สูงอาจไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ในวงเงินเท่ากับในอดีต ขณะเดียวกัน ผู้กู้จำนวนมากก็ยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรายได้ จึงยังไม่เร่งก่อหนี้ใหม่เช่นกัน
ขณะที่ข้อมูลคุณภาพสินเชื่อ ณ ไตรมาส 3/2568 ระบุว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) มีมูลค่ารวม 5.16 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.88% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ ส่วนหนี้ Stage 2 อยู่ที่ 1.28 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.19% ของสินเชื่อรวม
สำหรับสินเชื่อรายย่อย มีหนี้ Stage 3 หรือเอ็นพีแอลอยู่ที่ 1.75 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.34% และ Stage 2 อยู่ที่ 3.97 แสนล้านบาท หรือ 7.56% ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจมีเอ็นพีแอล 3.40 แสนล้านบาทคิดเป็น 2.69% และ Stage 2 อยู่ที่ 8.89 แสนล้านบาท หรือ 7.03% ของสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ความเปราะบางยังคงอยู่ โดยเฉพาะในมิติของ "ความสามารถชำระหนี้" และ "คุณภาพสินเชื่อ" ที่เริ่มส่งสัญญาณน่ากังวล สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (Stage 2) ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง
อีกด้านหนึ่ง ผลประกอบการของภาคธุรกิจหลายประเภทชะลอลงอย่างชัดเจน เห็นได้จากอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin : OPM) ที่ลดลงเกือบทุกกลุ่ม ตั้งแต่ภาคการผลิตอยู่ที่ 6.38% ธุรกิจบริการอื่นๆ 7.65%ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 4.69% และภาพรวมอยู่ที่ 6.41%โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว ส่งผลต่อความสามารถในการหารายได้และการชำระคืนหนี้ของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ประเมินว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 4 ปีนี้ มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.6% จาก 86.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยคำนวณจากฐานข้อมูลสินเชื่อและตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 1.2%
การที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงพฤติกรรมของทั้งฝั่งผู้ปล่อยสินเชื่อและผู้กู้ฝั่งสถาบันการเงินมีแนวโน้มเลือกปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีศักยภาพมากขึ้น ขณะที่ครัวเรือนเองเริ่มระมัดระวังการก่อหนี้มากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน
สำหรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย 35% สินเชื่อส่วนบุคคล 26% สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ 18% สินเชื่อรถยนต์ 9% บัตรเครดิต 3% และอื่น ๆ 9% โดยภาพรวมหนี้ครัวเรือนจากระดับสูงสุดกว่า 95.5% ในไตรมาส 1 ปี 2564 ได้ทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการลดหนี้
ขณะที่หนี้ภาคธุรกิจต่อจีดีพีก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 81.3% ลดลงจาก 81.6% ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับมุมมองของดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหาร งานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดที่ระบุว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทยในปีนี้มีทิศทางทรงตัวถึงปรับลดลง โดยสินเชื่อครัวเรือนหลายประเภทอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผู้กู้ชะลอการตัดสินใจก่อหนี้ใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินเชื่อบางประเภทที่ขยายตัวได้บ้าง เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันอื่น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2568 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะอยู่ที่ประมาณ 86.5% และในระยะข้างหน้า ความเสี่ยงสำคัญยังคง อยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ยังล่าช้าและไม่ต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อทั้งความสามารถในการชำระคืนหนี้และการก่อหนี้ใหม่ และมีแนวโน้มภาพเช่นนี้จะยืดไปถึงปีหน้า
ในเชิงโครงสร้าง แม้หนี้ครัวเรือนของไทยปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ยังไม่เข้าสู่ระดับที่ยั่งยืน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จนถึงปลายปี 2569 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังคงสูงกว่า 80% ซึ่งเป็นระดับที่ Bank for International Settlement (BIS) มองว่าเป็นจุดยั่งยืน
ด้านการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป ต้องเดินหน้าควบคู่ทั้งสองด้าน คือ การฟื้นความสามารถในการชำระคืนหนี้ และการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" รวมถึงมาตรการแก้หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" เพื่อบรรเทาภาระและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากสถาบันการเงินต้องพิจารณาความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างรอบคอบภายใต้หลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending : RL) ทำให้ผู้กู้ที่มีภาระหนี้สูงอาจไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ในวงเงินเท่ากับในอดีต ขณะเดียวกัน ผู้กู้จำนวนมากก็ยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรายได้ จึงยังไม่เร่งก่อหนี้ใหม่เช่นกัน
ขณะที่ข้อมูลคุณภาพสินเชื่อ ณ ไตรมาส 3/2568 ระบุว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) มีมูลค่ารวม 5.16 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.88% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ ส่วนหนี้ Stage 2 อยู่ที่ 1.28 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.19% ของสินเชื่อรวม
สำหรับสินเชื่อรายย่อย มีหนี้ Stage 3 หรือเอ็นพีแอลอยู่ที่ 1.75 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.34% และ Stage 2 อยู่ที่ 3.97 แสนล้านบาท หรือ 7.56% ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจมีเอ็นพีแอล 3.40 แสนล้านบาทคิดเป็น 2.69% และ Stage 2 อยู่ที่ 8.89 แสนล้านบาท หรือ 7.03% ของสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ