ส่องเทรนด์อสังหาฯ 2569 สมาร์ทโฮม-รักษ์โลก พร้อมตอบโจทย์สูงวัย
วันที่ : 1 มกราคม 2569
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุว่า การตลาดอสังหาฯ กำลังเปลี่ยนจากการหวังปริมาณคนเดินเข้าโครงการ ไปสู่การมองหา "คุณภาพของผู้ซื้อ" เทคโนโลยีจึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่การวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์ ความสามารถทางการเงิน ไปจนถึงความคาดหวังด้านการอยู่อาศัย เพื่อให้พนักงานขายทำงานได้แม่นยำขึ้น และควบคุมต้นทุนในยุคที่กำไรลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียว
ปี 2569 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อผู้ซื้อไม่ได้มองหาเพียงที่อยู่อาศัย แต่ต้องการที่อยู่พร้อมคุณภาพชีวิต ที่ฉลาด ประหยัดพลังงาน และใช้ชีวิตได้ตลอดทุกช่วงวัย
หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญช่วงชะลอตัวหลายปี และถึงแม้ในปี 2569 อาจจะยังไม่พบกับสัญญาณของการฟื้นตัวแบบหวือหวา แต่เป็นปีที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการต่างเลือกมากขึ้น บ้านหนึ่งหลังจึงไม่ถูกมองแค่ราคาต่อ ตารางเมตร หรือทำเลอีกต่อไป หากแต่ถูกประเมินในฐานะต้นทุนชีวิตระยะยาว ที่ต้องตอบโจทย์ทั้งความมั่นคง สุขภาพ และค่าใช้จ่ายในอนาคต
ภาพรวมความต้องการในตลาดสะท้อนว่า คนไทยยังให้คุณค่ากับการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมากกว่าการเช่า แม้พฤติกรรมการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป ขนาดครอบครัวเล็กลง การครองตัวเป็นโสดหรือไม่มีลูกเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการ "บ้านของตัวเอง" ยังไม่หาย เพียงแต่โจทย์การซื้อซับซ้อนกว่าเดิม ผู้บริโภคต้องการบ้านที่อยู่ได้ในระยะยาว ปรับตัวได้ และไม่สร้างภาระ
จากบริบทดังกล่าว ทำให้เมกะเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2569 ชัดเจนขึ้นเป็นสามแกนหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี ความยั่งยืน และการรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นระบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค
เทคโนโลยีจากต้นน้ำการพัฒนา สู่ปลายน้ำการอยู่อาศัย
เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์จาก "ธุรกิจก่อสร้าง" ไปสู่ "ธุรกิจข้อมูลและระบบ" ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ผู้ประกอบการเริ่มนำ AI และระบบดิจิทัลเข้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคอย่างละเอียด เพื่อออกแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการจริง ลดการทำตลาดแบบเหมารวม และคัดกรองลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูงในภาวะที่ต้นทุนต่อการขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุว่า การตลาดอสังหาฯ กำลังเปลี่ยนจากการหวังปริมาณคนเดินเข้าโครงการ ไปสู่การมองหา "คุณภาพของผู้ซื้อ" เทคโนโลยีจึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่การวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์ ความสามารถทางการเงิน ไปจนถึงความคาดหวังด้านการอยู่อาศัย เพื่อให้พนักงานขายทำงานได้แม่นยำขึ้น และควบคุมต้นทุนในยุคที่กำไรลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียว
ในขั้นตอนการก่อสร้าง เทคโนโลยีอย่าง BIM และระบบบริหารจัดการโครงการ ถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ เพื่อช่วยจำลองการก่อสร้าง เลือกวัสดุ คำนวณพลังงาน และประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจริง ส่งผลให้บ้านในอนาคตไม่ได้ฉลาดเฉพาะตอนอยู่อาศัย แต่ถูกออกแบบอย่างมีข้อมูลรองรับตั้งแต่ต้นทาง
เมื่อถึงปลายน้ำ เทคโนโลยีถูกถักทอเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทั้งระบบ Smart Home ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบควบคุมพลังงาน และเทคโนโลยีดูแลสุขภาพ โดยผู้บริโภคเริ่มคาดหวังว่าบ้านต้องช่วย "ลดภาระ" ไม่ใช่เพิ่มความซับซ้อน เทคโนโลยีที่ดีจึงต้องใช้งานง่าย เชื่อถือได้ และดูแลชีวิตได้จริง
บ้านประหยัดพลังงาน สู่ชุมชนที่ยั่งยืน
อีกแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมในตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังขยับจากคำว่า "รักษ์โลก" เชิงภาพลักษณ์ ไปสู่การคำนวณต้นทุนชีวิตที่จับต้องได้ ผู้บริโภคมองเรื่องค่าไฟ ค่าใช้จ่ายระยะยาว และความเสี่ยงด้านพลังงานมากขึ้น บ้านที่ผลิตพลังงานได้เอง บ้านที่ออกแบบให้ประหยัดพลังงาน และโครงการที่มีระบบจัดการสิ่งแวดล้อมชัดเจน จึงกลายเป็นแต้มต่อสำคัญ
ตัวอย่างจาก บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ขยับเกมด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่ในโครงการระดับกลาง-บน เพื่อให้พลังงานสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงฟังก์ชันเสริม ขณะเดียวกันยังต่อยอดไปสู่ระบบดูแลโซลาร์ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนในระยะยาว
อีกหนึ่งประเด็นที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นคือการจัดการขยะในระดับชุมชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม เสนาเลือกลงมือแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการแยกขยะตั้งแต่ชั้นพักอาศัย เพื่อลดปัญหาการรวมขยะในภายหลัง แนวคิดนี้สอดคล้องกับทิศทางของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่เตรียมผลักดันมาตรฐาน Low Carbon Living และการจัดการขยะ เพื่อลดต้นทุนเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว
บ้านต้องอยู่ได้ยาว และดูแลคนได้ตลอดชีวิต
โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ บ้านไม่ใช่สินทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตอีกต่อไป แต่ต้องรองรับการใช้ชีวิตในวันที่ร่างกายเปลี่ยน รายได้ลดลง และความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
กลุ่ม Baby Boomer ยังคงเป็นกำลังซื้อสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความปลอดภัย และการปรับปรุงบ้านให้รองรับวัยที่เปลี่ยนไป ขณะที่ Gen X และ Gen Y เริ่มมองบ้านในฐานะพื้นที่ดูแลทั้งตัวเองและครอบครัวในระยะยาว ส่วนคนรุ่นใหม่ แม้จะเริ่มจากการเช่ามากขึ้น แต่ยังไม่หลุดจากสมการผู้ซื้อในอนาคต เพียงแต่ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม
แนวคิด Wellness และ Universal Design จึงขยับจากตลาดเฉพาะกลุ่ม สู่การเป็นมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัย ตั้งแต่พื้นที่สีเขียว ระบบอากาศที่ดี การออกแบบลดอุบัติเหตุ ไปจนถึงเทคโนโลยีช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน บ้านที่ดูแลผู้สูงวัยได้ ย่อมดูแลคนทุกวัยได้ และมีคุณค่าในระยะยาวมากกว่า
โดยภาพรวมทั้งหมดแล้ว จะเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2569 ก ลังเปลี่ยนบทบาทจาก "ที่อยู่อาศัย" ไปสู่ "ระบบชีวิต" ที่เชื่อมโยงเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างประชากรเข้าไว้ด้วยกัน ผู้ประกอบการที่ยังมองบ้านเป็นเพียงสินค้าที่ขายแล้วจบ อาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้น ในขณะที่ผู้ที่สามารถออกแบบบ้านให้ดูแลชีวิตลูกค้าได้ตลอดเส้นทาง มีโอกาสสร้างความได้เปรียบในตลาดที่ยากขึ้น โดยยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญช่วงชะลอตัวหลายปี และถึงแม้ในปี 2569 อาจจะยังไม่พบกับสัญญาณของการฟื้นตัวแบบหวือหวา แต่เป็นปีที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการต่างเลือกมากขึ้น บ้านหนึ่งหลังจึงไม่ถูกมองแค่ราคาต่อ ตารางเมตร หรือทำเลอีกต่อไป หากแต่ถูกประเมินในฐานะต้นทุนชีวิตระยะยาว ที่ต้องตอบโจทย์ทั้งความมั่นคง สุขภาพ และค่าใช้จ่ายในอนาคต
ภาพรวมความต้องการในตลาดสะท้อนว่า คนไทยยังให้คุณค่ากับการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมากกว่าการเช่า แม้พฤติกรรมการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป ขนาดครอบครัวเล็กลง การครองตัวเป็นโสดหรือไม่มีลูกเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการ "บ้านของตัวเอง" ยังไม่หาย เพียงแต่โจทย์การซื้อซับซ้อนกว่าเดิม ผู้บริโภคต้องการบ้านที่อยู่ได้ในระยะยาว ปรับตัวได้ และไม่สร้างภาระ
จากบริบทดังกล่าว ทำให้เมกะเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2569 ชัดเจนขึ้นเป็นสามแกนหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี ความยั่งยืน และการรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นระบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค
เทคโนโลยีจากต้นน้ำการพัฒนา สู่ปลายน้ำการอยู่อาศัย
เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์จาก "ธุรกิจก่อสร้าง" ไปสู่ "ธุรกิจข้อมูลและระบบ" ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ผู้ประกอบการเริ่มนำ AI และระบบดิจิทัลเข้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคอย่างละเอียด เพื่อออกแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการจริง ลดการทำตลาดแบบเหมารวม และคัดกรองลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูงในภาวะที่ต้นทุนต่อการขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุว่า การตลาดอสังหาฯ กำลังเปลี่ยนจากการหวังปริมาณคนเดินเข้าโครงการ ไปสู่การมองหา "คุณภาพของผู้ซื้อ" เทคโนโลยีจึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่การวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์ ความสามารถทางการเงิน ไปจนถึงความคาดหวังด้านการอยู่อาศัย เพื่อให้พนักงานขายทำงานได้แม่นยำขึ้น และควบคุมต้นทุนในยุคที่กำไรลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียว
ในขั้นตอนการก่อสร้าง เทคโนโลยีอย่าง BIM และระบบบริหารจัดการโครงการ ถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ เพื่อช่วยจำลองการก่อสร้าง เลือกวัสดุ คำนวณพลังงาน และประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจริง ส่งผลให้บ้านในอนาคตไม่ได้ฉลาดเฉพาะตอนอยู่อาศัย แต่ถูกออกแบบอย่างมีข้อมูลรองรับตั้งแต่ต้นทาง
เมื่อถึงปลายน้ำ เทคโนโลยีถูกถักทอเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทั้งระบบ Smart Home ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบควบคุมพลังงาน และเทคโนโลยีดูแลสุขภาพ โดยผู้บริโภคเริ่มคาดหวังว่าบ้านต้องช่วย "ลดภาระ" ไม่ใช่เพิ่มความซับซ้อน เทคโนโลยีที่ดีจึงต้องใช้งานง่าย เชื่อถือได้ และดูแลชีวิตได้จริง
บ้านประหยัดพลังงาน สู่ชุมชนที่ยั่งยืน
อีกแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมในตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังขยับจากคำว่า "รักษ์โลก" เชิงภาพลักษณ์ ไปสู่การคำนวณต้นทุนชีวิตที่จับต้องได้ ผู้บริโภคมองเรื่องค่าไฟ ค่าใช้จ่ายระยะยาว และความเสี่ยงด้านพลังงานมากขึ้น บ้านที่ผลิตพลังงานได้เอง บ้านที่ออกแบบให้ประหยัดพลังงาน และโครงการที่มีระบบจัดการสิ่งแวดล้อมชัดเจน จึงกลายเป็นแต้มต่อสำคัญ
ตัวอย่างจาก บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ขยับเกมด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่ในโครงการระดับกลาง-บน เพื่อให้พลังงานสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงฟังก์ชันเสริม ขณะเดียวกันยังต่อยอดไปสู่ระบบดูแลโซลาร์ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนในระยะยาว
อีกหนึ่งประเด็นที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นคือการจัดการขยะในระดับชุมชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม เสนาเลือกลงมือแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการแยกขยะตั้งแต่ชั้นพักอาศัย เพื่อลดปัญหาการรวมขยะในภายหลัง แนวคิดนี้สอดคล้องกับทิศทางของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่เตรียมผลักดันมาตรฐาน Low Carbon Living และการจัดการขยะ เพื่อลดต้นทุนเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว
บ้านต้องอยู่ได้ยาว และดูแลคนได้ตลอดชีวิต
โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ บ้านไม่ใช่สินทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตอีกต่อไป แต่ต้องรองรับการใช้ชีวิตในวันที่ร่างกายเปลี่ยน รายได้ลดลง และความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
กลุ่ม Baby Boomer ยังคงเป็นกำลังซื้อสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความปลอดภัย และการปรับปรุงบ้านให้รองรับวัยที่เปลี่ยนไป ขณะที่ Gen X และ Gen Y เริ่มมองบ้านในฐานะพื้นที่ดูแลทั้งตัวเองและครอบครัวในระยะยาว ส่วนคนรุ่นใหม่ แม้จะเริ่มจากการเช่ามากขึ้น แต่ยังไม่หลุดจากสมการผู้ซื้อในอนาคต เพียงแต่ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม
แนวคิด Wellness และ Universal Design จึงขยับจากตลาดเฉพาะกลุ่ม สู่การเป็นมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัย ตั้งแต่พื้นที่สีเขียว ระบบอากาศที่ดี การออกแบบลดอุบัติเหตุ ไปจนถึงเทคโนโลยีช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน บ้านที่ดูแลผู้สูงวัยได้ ย่อมดูแลคนทุกวัยได้ และมีคุณค่าในระยะยาวมากกว่า
โดยภาพรวมทั้งหมดแล้ว จะเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2569 ก ลังเปลี่ยนบทบาทจาก "ที่อยู่อาศัย" ไปสู่ "ระบบชีวิต" ที่เชื่อมโยงเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างประชากรเข้าไว้ด้วยกัน ผู้ประกอบการที่ยังมองบ้านเป็นเพียงสินค้าที่ขายแล้วจบ อาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้น ในขณะที่ผู้ที่สามารถออกแบบบ้านให้ดูแลชีวิตลูกค้าได้ตลอดเส้นทาง มีโอกาสสร้างความได้เปรียบในตลาดที่ยากขึ้น โดยยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ