PFชู3กลยุทธ์หลักปรับลดหนี้ สร้างความแข็งแกร่งให้งบดุล ขยับเครดิตเรตติ้ง
Loading

PFชู3กลยุทธ์หลักปรับลดหนี้ สร้างความแข็งแกร่งให้งบดุล ขยับเครดิตเรตติ้ง

วันที่ : 4 กันยายน 2562
“PF” ชู 3 กลยุทธ์หลัก สร้างผลงานที่ดี-ขายที่ดินและเงินลงทุน-เพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และลดหนี้สร้างความแข็งแกร่งให้งบดุล หนุนเครดิตเรตติ้งเพิ่มจาก BB+ ขายที่ดินและเงินลงทุน-เพิ่มทุน ส่วนรายได้รวมปีนี้มั่นใจมาตามนัด 25,000 ล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อกรอบุ๊ก 6,701 ล้านบาท และมีสต๊อก 9,000 ล้านบาท
          “PF” ชู 3 กลยุทธ์หลัก สร้างผลงานที่ดี-ขายที่ดินและเงินลงทุน-เพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และลดหนี้สร้างความแข็งแกร่งให้งบดุล หนุนเครดิตเรตติ้งเพิ่มจาก BB+ ขายที่ดินและเงินลงทุน-เพิ่มทุน ส่วนรายได้รวมปีนี้มั่นใจมาตามนัด 25,000 ล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อกรอบุ๊ก 6,701 ล้านบาท และมีสต๊อก 9,000 ล้านบาท

          นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายปรับลดหนี้สิน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุล ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest Bearing Debt : IBD/E) จำนวน 35,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายในปี 2562 บริษัทจะชำระหนี้ดังกล่าวประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อให้มีอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรทติ้ง) เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันเครดิตเรทติ้งของบริษัทอยู่ที่ระดับ BB+ และในอนาคตบริษัทจะทยอยชำระหนี้ให้อยู่ในระดับที่ต่ำลงต่อนื่อง เพื่อจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินลดอยู่ที่ระดับ 2-3% เท่ากับอุตสาหกรรม จากปัจจุบันต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทอยู่ที่กว่า 5%

          โดยจะใช้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.สร้างผลการดำเนินงานที่ดี 2.ขายที่ดินและเงินลงทุนที่บริษัทไม่ได้ใช้ประโยชน์ และ 3.เพิ่มทุน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวน 1,354,347,880 หุ้น แบ่งจัดสรรจำนวน 1,083,478,304 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Offering : RO) และในกรณีที่หุ้นสามัญคงเหลือหลังจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ให้เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นในวงจำกัด (Private Placement : PP)

          ขณะที่ ปัจจุบันบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PF ถือหุ้นอยู่ที่ 43.34% อยู่ระหว่างการเจรจาขายหุ้นบริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ROH ในสัดส่วน 45% จากหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 98.48% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยจะแบ่งขายเป็น 2 รอบ รอบแรกจะขาย 30% ภายในปี 2562 และรอบ 2 จะขาย 15% ในปี 2563

          ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2562 คาดว่าจะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจะส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 10,615.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,132.02 ล้านบาท ทั้งจากการดำเนินงานปกติและการขายที่ดิน

          โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทประเมินว่าจะมีรายได้รวม 15,062 ล้านบาท สัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ (รวม GRAND) จำนวน 11,738 ล้านบาท แบ่งเป็น จากโครงการแนวราบ จำนวน 6,022 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 5,716 ล้านบาท

          นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมและรายได้จากงานบริการรวมประมาณ 2,192 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโรงแรมประมาณ 2,053 ล้านบาท และรายได้จากงานบริการ จำนวน 139 ล้านบาท อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนขายที่ดินและเงินลงทุนประมาณ 1,132 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้รวมในปี 2562 เติบโตตามเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท

          ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2562 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่า 6,701 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 4,797 ล้านบาท มาจากโครงการแนวราบ จำนวน 1,471 ล้านบาท จากโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศ จำนวน 1,614 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียม ยู คิโรโระ ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 1,712 ล้านบาท ส่วน Backlog ที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2563 และปี 2564 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท จากโครงการคอนโดมิเนียม 8,000 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบประมาณ 1,000 ล้านบาท

          ส่วนเป้าหมายยอดขาย (Presale) ในปี 2562 บริษัทได้ปรับลดลงเหลือ 19,400 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมาย 22,400 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปรับลดการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 เหลือ 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,245 ล้านบาท หรือลดลง 6 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบของ PF จำนวน 4 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม GRAND จำนวน 2 โครงการ จากเดิมที่มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 39,300 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายรวมแล้ว 7,456 ล้านบาท

          “การที่บริษัทปรับลดยอดขายและแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ สะท้อนถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันโดยรวมที่เกิดขึ้น บริษัทจึงปรับแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในปัจจุบัน และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ (LTV) ใหม่ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา” นายธีรธัชช์ กล่าว
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ