ชะลอลงทุนหนีโควิด กนอ.หั่นเป้านิคมฯเหลือ2,000-2,500ไร่
Loading

ชะลอลงทุนหนีโควิด กนอ.หั่นเป้านิคมฯเหลือ2,000-2,500ไร่

วันที่ : 5 พฤษภาคม 2563
กนอ. ชี้ พิษไวรัสโควิด กระทบลงทุน ต้องปรับเป้าเหลือ 2,000-2,500ไร่
          "นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง  โดยเฉพาะ ครึ่งหลังของปี 2563 ที่นักลงทุนยังกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้กนอ.ปรับเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของกนอ.ลงเหลือ 2,000-2,500 ไร่ ต่อปี จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 3,000-3,500 ไร่ต่อปี รวมทั้ง เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการ กนอ.ให้ความเห็นชอบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม

          "หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จบลงกนอ.เตรียมปรับแผนเชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนโดยเฉพาะแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ประกอบด้วย 3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต"นางสาวสมจิณณ์กล่าว

          ทั้งนี้ จากการประชุมหารือเรื่อง "วิกฤติสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก" ร่วมกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า จากตัวเลขน้ำสำรองในปัจจุบันมั่นใจว่าสามารถมีใช้ไปจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ และจะผ่านภาวะวิกฤตินี้ได้ แต่ยังเป็นห่วงปัญหาในช่วงหลังเดือนมิถุนายนนี้ และในระยะยาว จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งการผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำจากคลองสะพาน จ.ระยอง เพื่อวางท่อ ส่งน้ำขนาดใหญ่ 1,800 มิลลิเมตร ซึ่งจะดึงน้ำเข้ามาเก็บที่อ่างเก็บน้ำประแสร์เพิ่มถึง 5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากปัจจุบันที่ได้วาง ท่อสูบน้ำชั่วคราว ขนาด 900 มิลลิเมตร สูบน้ำ ได้ประมาณ 1.5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน

          ขณะที่มาตรการขอความร่วมมือให้กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ลดการใช้น้ำลง 10% ในปีนี้ ทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายแต่หากเกิดภัยแล้งในปีหน้าขึ้นอีกก็จะเป็นการยากที่จะลดการใช้น้ำลง 10% ได้ตามเป้า เนื่องจากเกิดการขยายโรงงาน และการลงทุนโรงงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม

          ที่ผ่านมาก นอ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ภาคตะวันออก เพื่อให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้งมาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับ 4 อ่างเก็บน้ำหลัก ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้แก่ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด ลุ่มน้ำวังโตนด จังหวัดจันทบุรี ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตรไปเพิ่มน้ำต้นทุนยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง สร้างระบบสูบกลับชั่วคราวจากคลองสะพาน  ปรับปรุงระบบสูบกลับวัดละหารไร่จากแม่น้ำระยองไปยังอ่างเก็บน้ำ หนองปลาไหล รวมทั้งการเพิ่มน้ำต้นทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยการนำน้ำจากคลองชากหมาก มาผ่านการบำบัด และนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึง การขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ปรับลดปริมาณการใช้น้ำลง 10%

          ขณะเดียวกันปีนี้น้ำในภาคตะวันออกมีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย น้ำไหลลงอ่างลดลงจึงต้องมีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจน คาดว่าในปี 2563-2565 จะมีการตั้งโรงงานเพิ่ม 2 เท่าตัว หากมีน้ำไม่เพียงพอก็อาจกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในEEC ได้ ขณะที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนดอยู่ระหว่างการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หากอ่างเก็บน้ำทั้ง 4 แห่ง ก่อสร้างเสร็จจะแบ่งปันน้ำเข้าสู่พื้นที่อีอีซี ได้ประมาณ 100-150 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ข่าวเขตเศรษฐกิจพิเศษ อื่นๆ