จับตาภาษีที่ดินฯบีบอสังหาฯ-ธนาคาร เร่งระบายที่ดิน-บ้านใหม่-มือ 2 ล้นตลาด
Loading

จับตาภาษีที่ดินฯบีบอสังหาฯ-ธนาคาร เร่งระบายที่ดิน-บ้านใหม่-มือ 2 ล้นตลาด

วันที่ : 14 กันยายน 2563
จี้เลิก LTV ชี้สินเชื่อโตจากแบงก์แข่งรีไฟแนนซ์
           อสังหาริมทรัพย์

          การบังคับใช้และจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2512 ที่เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อประชาชน และนิติบุคคลที่ถือครองที่ดินในมือจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ดินที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่ดินการเกษตรและที่ดินที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม กลุ่มภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะมีการซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนาและมีสต๊อกที่อยู่อาศัยในมือจำนวนมาก หากไม่สามารถระบายออกได้ภายในระยะ 3 ปีตามที่กฎหมายกำหนดสต๊อก ที่อยู่อาศัยเหล่านี้จะมีต้นทุนที่เกิดจากการจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นในทันที ขณะที่สถาบันการเงิน ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการถือทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ไว้จำนวนมาก ต้องเร่งระบาย NPA ออกจากมือเร็วมากขึ้น

          ไม่ว่าจะโดยการขายทอดตลาดและขายทรัพย์สินให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาธนาคารต่างก็เร่งระบาย NPA เพื่อลดภาระบริหารทรัพย์ เพื่อ ลดความเสี่ยงการตั้งสำรอง และเพิ่มเงินหมุนเวียน แม้ว่ากฎหมายจะผ่อนปรนให้ 3 ปีแรกก็ตาม แต่จากการประเมิน NPA คงค้างในระบบธนาคารพบว่ามีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท ไม่นับรวมทรัพย์ที่อยู่ในมือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) จากปริมาณทรัพย์คงค้างในระบบ ทั้งที่อยู่ในมือของธนาคาร เมื่อนับรวมกับทรัพย์ใหม่และทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการขายและก่อสร้างจากบริษัทอสังหาฯ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ต่างเร่งระบายสต๊อกออกให้เร็วที่สุด

          จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้คาดว่านับจากปลายปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเริ่มทยอยมีทรัพย์ประเภท บ้าน ทาวน์เฮาส์ ที่ดิน และคอนโดมิเนียม ทั้งที่เป็นที่อยู่ใหม่และมือสอง ทยอย เข้าสู่ตลาดใหม่อีกรอบและจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มดังกล่าวจะทำให้ในช่วง 1-2 ปีจากนี้ราคาขายบ้านใหม่และบ้านมือสองมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และส่งผลต่อราคาขายปรับตัวยาก และยังมีโอกาสที่จะทำให้ราคาขายที่อยู่อาศัยใหม่และที่ดินปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ กลุ่มคอนโดฯที่ปัจจุบันยังล้นตลาดอยู่

          นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัล- แทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ปี63 เป็นปีแรกที่ผู้บริโภคต้องเจอกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีแบบใหม่ที่เพิ่มเติม เข้ามาในชีวิตของคนไทย จะบอกว่าเป็นภาษีใหม่ก็ไม่เชิงเพราะเป็นภาษีที่เข้ามาทดแทนภาษีโรงเรือนที่เก็บกันมาก่อนหน้านี้ โดย ณ สิ้นเดือน ส.ค. 63 เป็นช่วงเริ่มต้นที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่ต้องเสียภาษีนี้ เพราะถ้าที่อยู่อาศัยมีมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษีที่ดินฯ แต่ถ้ามีที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลังก็ต้องเสียหลังที่ 2 เป็นต้นไป รวมไปถึงกลุ่มเกษตรกรที่ต้องเสียภาษีที่ดินสำหรับที่ดินที่มีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไปต้องเสียภาษีใน ส่วนที่เกินนั้น และกลุ่มของผู้ประกอบการ บริษัทผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และเจ้าของอาคารเพื่อการพาณิชย- กรรม อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทดแทนภาษีโรงเรือนี่เคยเสียกันมาก่อนหน้านี้

          ภาระภาษีที่ประชาชนทั่วไปต้องเสียในปีนี้อาจจะ ไม่ได้เต็ม 100% เพราะเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 63 ครม.มีมติเห็นชอบให้ลดภาษีที่ดินฯ ของปี 63 ลง 90% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 นั่นเท่ากับว่าคน ที่ต้องเสียภาษีที่ดินฯ ในเดือน ส.ค. 63 จะเสียเพียง 10% ของภาระภาษีที่ต้องเสียจริงๆ ตามหลักเกณฑ์เท่านั้น แต่ว่าในปี 64 จะต้องเสียแบบ 100% ตามหลักเกณฑ์ที่ประเมินมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและต้องเสียมากขึ้นกว่าที่ต้องเสียจริงๆ ในปี 63 เนื่องจากราคาประเมินราชการของที่ดิน บ้าน และคอนโดฯ ทั้งประเทศไทยจะมีการประกาศใช้ราคาประเมินราชการใหม่พร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งดูแล้วเพิ่มขึ้นจากปี 63 แน่นอน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ ประกอบกับการต้องเสียแบบเต็ม 100% ก็มีผลให้ภาระของคนจำนวนหนึ่งที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางพื้นที่เพิ่มแบบก้าวกระโดด

          แม้ว่าราคาประเมินราชการของที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปรับเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆ แตกต่างกัน เช่น 1. ราคาประเมินราชการก่อนหน้านี้แตกต่างกัน พื้นที่ ที่ราคาประเมินราชการอยู่ในหลักร้อยบาทต่อตารางวาหรือ ต่ำกว่านั้น ก็คงไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นมาหลักหมื่นหลักแสนแน่นอน 2. ปัจจัยพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงศักยภาพของที่ดินแตกต่างกันชัดเจน เช่น โครงสร้างพื้นฐานการขยายตัวของเมือง การพัฒนาของภาครัฐบาล และเอกชน 3. กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ถ้าทั้งสองสิ่งนี้ไม่เอื้อต่อการพัฒนาต่อให้อยู่ในทำเลดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าที่ดินได้ 4. ความนิยมหรือร้อนแรงของทำเลต่างๆ ที่แตกต่างกันก็มีผลต่อราคาประเมินราชการด้วยเช่นกัน เพราะ ถ้าทำเลใดมีการซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดินกันมากมายก็มีผลให้ราคาบอกขายที่ดินปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในทางกลับกันถ้าทำเลใดไม่มีการซื้อขายที่ดินหรือมีการซื้อขายกัน น้อยมากก็มีผลให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นน้อยมากเช่นกัน

          จาก 4 ปัจจัยข้างต้นเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของศักยภาพของที่ดิน และมีผลโดยตรง ต่อราคาประเมินราชการของที่ดินในแต่ละทำเล ดังนั้น ทำเลที่ราคาที่ดินจะมีการปรับเพิ่มขึ้นแบบชัดเจนในปี พ.ศ. 2564 คงเป็นทำเลที่ราคาประเมินราชการสูงอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นทำเลที่มีการซื้อขายที่ดินกันในราคาสูงต่อเนื่อง เช่น สยาม สีลม สาทร สุขุมวิท พระราม 4 พญาไท เพลินจิต รัชดาภิเษก พหลโยธิน รวมไปถึงพื้นที่ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงศักยภาพจากการเปลี่ยนแปลงของผังเมืองกรุงเทพมหานคร เช่น พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยายและที่กำลังก่อสร้างต่างๆ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) สายสีชมพู (แครายมีนบุรี) สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) สายสีน้ำเงินทั้ง 2 เส้นทาง คือ เตาปูน-ท่าพระกับหัวลำโพง-หลักสอง สายสีทองตามแนวถนนเจริญนคร รวมไปถึงในพื้นที่ที่มีแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ในแผนการพัฒนาอีกหลายพื้นที่ ซึ่งทางสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานครมีการปรับเพิ่มการใช้ประโยชน์บนที่ดินให้มากขึ้นรวมไปถึงมีการปรับเพิ่ม FAR ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งสีผังเมืองและ FAR ปรับเพิ่มประกอบกับก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ดังกล่าวต่อเนื่อง

          โดยเฉพาะการซื้อขายที่ดินใหม่ๆ ที่มีมาต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น แน่นอนว่าราคาประเมินราชการ ในพื้นที่ดังกล่าวต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน เพียงแต่จะปรับเพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่นั้น ต้องรอการประกาศแบบ เป็นทางการอีกครั้ง

          อีกสิ่งหนึ่งที่คนที่มีคอนโดมิเนียมและต้องเสียภาษีที่ดินฯ ทุกคนต้องคำนึงถึงคือ ถ้าโครงการคอนโดมิเนียมใดมีการซื้อขายกันใหม่ในราคาที่แตกต่างจากราคาประเมินที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้มากเกินกว่าร้อยละ 30 ของจำนวนยูนิตทั้งหมด ก็อาจจะมีการคำนวณราคาประเมินราชการของโครงการคอนโดมิเนียมนั้นใหม่ โดยไม่คำนึงถึงรอบการคำนวณราคาประเมิน ดังนั้นโครงการใดที่ดีรับ ความนิยมมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเยอะๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเสียภาษีที่ดินฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

          นอกจากนี้ อีก 1 กลุ่มที่มีความหนักใจในเรื่องของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือ กลุ่มของผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขาย เพราะถ้าโครงการใดก็ตามของพวกเขาครบ 3 ปี แล้วยังขายไม่หมดหรือยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ได้ใบอนุญาตก่อสร้างหรือใบอนุญาตจัดสรร (ทุกยูนิตก่อนวันที่ 13 มี.ค. 62) ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทันที จึงเกิดปรากฏการณ์การเร่งระบายสต๊อกยูนิตสร้างเสร็จกันในช่วงก่อนเดือน ส.ค.63 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบางรายลดราคาลงแบบไม่กลัวโดนผู้ที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ต่อว่าเลยเพื่อเร่งระบายของ และเก็บเงินสดเข้าระบบของตนเองในช่วงที่การเปิดขายโครงการใหม่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แล้วยูนิตเหลือขายในฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษีที่ดินฯ นั้นมีเยอะมั้ย อาจจะตอบได้ลำบากเพราะหลายๆ ปัจจัยนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องผู้ประกอบการแต่ละรายเลือกที่จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ถ้าดูจากสินค้าคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 63 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ 10 รายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็หนักใจแทนเหมือนกัน เพราะมีกันหลักหมื่นล้านบาทเลย เช่น

          จริงอยู่ที่มีผู้ประกอบการบางรายปิดการขายไปได้ไม่น้อยเลย แต่เอาจริงๆ แล้วส่วนที่ปิดการขายไปก่อนเดือนสิงหาคมส่วนใหญ่เป็นยูนิตเหลือขายในโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อยของโครงการทั้งหมดของพวกเขาเท่านั้นเอง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ออกไปในช่วงที่ผ่านมา เพื่อระบายยูนิตเหลือออกไปให้ได้มากที่สุด ทั้งเพื่อลดภาระจากภาษีที่ดินฯ เพื่อเอารายได้เข้าระบบ ฝั่งของ ผู้ประกอบการรายกลางหรือรายเล็กนอกตลาดหลักทรัพย์ฯแทบจะไม่มีโครงการใหม่ๆ เลยในปี 63

          เนื่องจากภาวะของเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอตัวแบบรุนแรง และเป็นการชะลอตัวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลายธุรกิจจำเป็นต้องปิดกิจการ เลิกจ้างพนักงานทั้งแบบเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมายหรือปิดกิจการหนีทันที จึงไม่แปลกที่จะมีคนขาดรายได้ทันทีทันใดมากมาย และมีผลกระทบต่อการผ่อนชำระสินเชื่อธนาคาร หนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีทิศทางเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยังไม่สามารถคาดเดาจุดสิ้นสุดได้ในช่วงนี้ บ้านและคอนโดมิเนียมรวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ จะเข้าสู่ระบบธนาคารมากขึ้น แต่ธนาคารมีเวลาในการจัดการอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้เพียง 5 ปีเท่านั้น

          ทั้งนี้ เพราะถ้าเก็บไว้นานกว่านั้นจะเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 100% ทันที ซึ่งเป็นภาระของธนาคาร ที่เพิ่มเติมเข้ามาหลังจากเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่รับซื้อ NPA จากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ก็คงต้องพิจารณาในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพราะพวกเขาคงเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเป็นไปได้ในการขายต่อมากกว่าอสังหาริมทรัพย์แบบอื่น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารด้วยว่าต้องการขายแบบใด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์มีความ เป็นไปได้ที่จะมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะจะมีอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่แพงจากธนาคารระบายออกมามากขึ้นแน่นอน เพียงแต่พวกเขาก็ต้องเร่งระบายอสังหาริมทรัพย์ออกเช่นกัน เพราะต้องเสียภาษีที่ดินฯ ด้วยเช่นกันเมื่อถือครองไว้นานเกิน 5 ปี

          ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาระในการถือครองที่ดินของประชาชน ผู้ประกอบการ ธนาคาร รวมไปถึงเอกชนทุกภาคส่วนที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะเป็นการเสียภาษีเพื่อนำกลับมาบำรุงท้องที่หรือพื้นที่ของตนเองก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความแคลงใจหรือยังไม่เข้าใจกันในทุกภาคส่วน แม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เก็บภาษีเองก็ยังไม่ได้มีความเข้าใจแบบ 100% ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกันทุกภาคส่วนสักระยะ นอกจากนี้ ภาษีที่ดินฯ ยังเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อเนื่องไปยังภาคการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายหรือเช่าทุกประเภท เพราะเป็นเสมือนหนึ่งในปัจจัยที่ควรคำนึงถึงของผู้ประกอบการทุกรายว่าเมื่อพัฒนาโครงการใดๆ ออกมาขายแล้วก็ตามจำเป็นต้องปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ได้ภายใน 3 ปีไม่อย่างนั้นมีภาระเพิ่มเติมแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องผู้ประกอบการอาจจะไม่ได้คำนึงมาก่อนหน้านี้หรือไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร อีกทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบพาณิชยกรรมก็อาจจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการถือครองไปเป็น REIT มากขึ้นเพื่อลดภาระภาษีที่เกิดขึ้น

          นอกจากการไหลเข้าสู่ตลาดของที่ดิน และที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการขายของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ แล้ว มาตรการสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ประกัน หรือ LTV ก็จะเป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการขยายอสังหาฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ส่งหนังสือเชิญให้ตัวแทนภาคธุรกิจอสังหาฯ เข้าหารือและเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งแรกที่กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ เสนอต่อรัฐบาลคือการยกเลิกมาตรการ LTV เนื่องจากส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดอสังหาฯ แต่ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงการณ์เมื่อวันที่ 10 ก.ย. โดยยืนยันว่ามาตรการ สินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ประกันหรือ LTV ยังมีความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือก็คือ ธปท.ยังยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวไป

          โดยให้เหตุผลว่า หลังการติดตามประเมินสถานการณ์ และได้ปรับหลักเกณฑ์ให้ผ่อนคลายไปแล้ว 2 ครั้ง พบว่า สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่สองของปี 63 ยังขยายตัวได้ 4.40% สูงกว่าไตรมาสก่อนแม้จะอยู่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นการซื้อบ้านหลังแรกสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการ LTV ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ซื้อบ้าน และสถาบันการเงินยังมีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มเติม

          แถลงการณ์ดังกล่าวของ ธปท.ที่ออกมาสร้างกระแสต่อต้านจากกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ อย่างหนัก โดยนายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ตั้งคำถามว่า ประเด็นที่ ธปท.บอกว่าสินเชื่ออสังหาฯ ครึ่งปีแรกยังโตได้นั้น หากพิจารณาตัวเลขของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์การโอนกรรมสิทธิ์กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ติดลบ แล้วสินเชื่อสามารถเติบโตได้อย่างไร ถ้าตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ติดลบตัวเลขของ ธปท.ที่ว่าเป็นบวกมีความเป็นไปได้อย่างไร ธปท.เอาตัวเลขมาจากไหน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ติดลบแล้ว สินเชื่อจะเป็นบวก สิ่งที่เป็นไปได้อย่างเดียว คือการรวมตัวเลข รีไฟแนนซ์เข้าไป ซึ่งนั่นไม่ใช่การซื้อบ้านใหม่

          "ในสถานการณ์ปัจจุบัน การซื้ออสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลจะใช้อสังหาฯ เป็นตัวขับเคลื่อนหรือประคองเศรษฐกิจ หากจะหวังพึงกำลังซื้อผู้บริโภคเพื่ออยู่อาศัยอย่างเดียว ยังไม่พอเพียง จึงควรยกเลิกมาตรการ LTV เพื่อดึงกลุ่มคนมีเงินเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนเข้ามาช่วยด้วย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มวอลุ่มในตลาดและช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไปได้เพราะ อสังหาฯ ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ"

          ขณะที่ นายอธิป พีชานนท์ ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์และออกแบบก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประเมิน สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ของ ธปท.เป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงทั้งหมด อาจจะเกิดจากความเข้าใจลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ถูกต้องเพราะยอดสินเชื่อที่โตขึ้นมาจาก 1. ยอดโอนคอนโดฯ ที่ขายเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งมาสร้างเสร็จและโอนในปีนี้ ไม่ใช่ยอดขายใหม่ จึงไม่สะท้อนสภาพตลาดปัจจุบันที่ยอดขายและ การอนุมัติสินเชื่อรายย่อยลดลงมาก 2. ธนาคารเพิ่มยอดสินเชื่อโดยใช้วิธีแย่งลูกค้าเก่ากันเองแบบ Refinancing จึงทำให้ยอดสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นแต่ความจริงคือ สินเชื่อ รายเดิมแต่ย้ายธนาคาร