ธปท.รับต่างชาติเก็งบาท จ่องัดมาตรการ คุมเพิ่ม
วันที่ : 2 ธันวาคม 2563
ธปท.เเก้บาทเเข็ง จ่อแถลงแพ็คเกจ ระยะสั้น-ยาว 9 ธ.ค.
ธปท.รับค่าเงินบาทพ.ย.แข็งค่า สั่งเกาะติด ค่าเงินบาทเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง รับพบพฤติกรรมเก็งกำไรบาทจากนักลงทุนต่างชาติ แต่เชื่อส่วนใหญ่หวังเข้ามาลงทุน หลังไทยรับข่าวบวกวัคซีนโควิด จ่อแถลงแพ็คเกจ ระยะสั้น-ยาว 9 ธ.ค. นี้ หวังเอื้อบาทเคลื่อนไหวสองทิศทาง
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันธปท.มีการติดตามการเคลื่อนไหวของ ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด 24 ชั่วโมง โดยยอมรับว่า ปัจจุบัน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นในพ.ย. 2563 หากเทียบกับ เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยพบว่าค่าเงินบาท ในเดือน พ.ย. ตั้งแต่ต้นเดือน ถึง 27 พ.ย. ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.9% จากเดือน ต.ค.ที่แข็งค่า 0.4 % แต่หากดูค่าเงินบาท ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันพบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาราว 1.1 % ขณะที่ ความผันผวนของค่าเงินบาทพบว่าเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น เป็นกว่า 5% จากค่าเฉลี่ยในปี 2562 ที่อยู่ที่กว่า 4%
สาเหตุหลักๆมาจากเงินทุนไหลเข้าที่กลับเข้ามา หลังจากก่อนหน้านี้ ที่มีการดึงเงินกลับ เพราะมองว่าขณะนี้ไทยมีข่าวดีจากข่าวการพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ที่เป็นผลดีกับการท่องเที่ยวไทย ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นรับต่างชาติเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ยอมรับว่า เห็นพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ในการเข้ามาลงทุนในไทย และตลาดเกิดใหม่บ้าง แต่ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังเก็งกำไรทั้งหมด เพราะการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน ส่วนใหญ่มีการคำนึงถึงผลตอบแทน และเพื่อต้องการบริหารสภาพคล่องระยะสั้น ซึ่งธปท.พยายามดูแลเพื่อไม่ให้ผันผวนสูงจนเกินไป แต่ไม่ใช่ปิดกั้นการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เพราะสิ่งที่ธปท.กังวล คือผลข้างเคียงของนักลงทุน ที่ต้องการเข้ามาลงทุนเพราะมองว่าประเทศไทยมีผลตอบแทนที่ดี และมีพื้นฐานที่ดี
โดยในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ธปท.เตรียมจะแถลงข่าวแพ็คเกจ การดูแลค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจใหญ่ ในการดูแลปัญหาเชิงโครงสร้างของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเอื้อให้ค่าเงินบาท เคลื่อนไหว 2 ทิศทางมากขึ้น และเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความทนทานต่อการเคลื่อนของค่าเงินบาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ครบองค์ประกอบ
"ความผันผวนค่าเงินบาท ไม่ใช่แค่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น แต่ยังมาจากโครงสร้างของอัตราแลกเปลี่ยนไทยด้วย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาแก้ไข ซึ่งแบงก์ชาติพยายามแก้ไขให้ครบองค์ประกอบ เพื่อให้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวแก้ไปสู่จุดเดียวกัน เพื่อทำให้เงินบาทเคลื่อนไหว 2 ทิศทางมากขึ้น"
บาททรงตัวรอมาตรการ
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทปิดตลาดวานนี้ที่ 30.29 บาทต่อดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 30.28 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 30.26-30.33 บาทต่อดอลลาร์ โดยดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโร ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน
นักบริหารเงิน ระบุว่า ปัจจัยที่ตลาดจับตาดูเป็นเรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศ และรายละเอียดแพ็คเกจมาตรการดูแลค่าเงินบาทของธปท. ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้(1ธ.ค.) ไว้ที่ 30.25-30.35 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นไทยออกมาค่อนข้างมาก โดยขายสุทธิถึง 4,372 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 254 ล้านบาท
คาดศก.ไตรมาส4ฟื้นต่อเนื่อง
ธปท.ยังได้แถลงภาพรวมเศรษฐกิจต.ค. พบว่า การหดตัวเศรษฐกิจสูงขึ้นหลังหมดปัจจัยบวกชั่วคราวจากวันหยุดยาวที่หมดไป แต่เชื่อว่าโดยรวมเศรษฐกิจอยู่ในทิศทางฟื้นตัว และจะเอื้อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 4 ได้ต่อ
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนกลับมาหดตัว -1.1% จากที่ขยายตัวได้เล็กน้อยในเดือนกันยายนที่ระดับ 0.4% หลังจากปัจจัยชั่วคราววันหยุดยาวพิเศษหมดลงตามการใช้จ่ายที่ปรับลดลงในเกือบทุกหมวด โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนกลับมาหดตัว และหมวดบริการหดตัวสูงขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าคงทน เช่น กลุ่มยานยนต์มีการเติบโตดีขึ้นจากแคมเปญและโปรโมชั่น
หากมองไปข้างหน้าการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัว เป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ทยอยปรับดีขึ้น ทั้งการจ้างงานที่ปรับดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขจำนวนผู้เสมือนว่างงานที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงมีอัตราที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากสามารถหางานทำได้ แม้ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น แต่เป็นผลมาจากแรงงานที่อยู่นอกระบบทยอยเข้ามาหางานทำในระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นดัชนีที่ธปท.จับตาดูอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะลดลงแต่ยังมีความเปราะบาง และยังอยู่ในระดับสูง รายได้ของครัวเรือนภาคครัวเรือนทั้งในและนอกภาคเกษตรปรับดีขึ้น
ขณะที่การส่งออกหดตัวอยู่ที่ -5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากไม่รวม ส่งออกทองคำจะหดตัวอยู่ที่ -5% โดยเป็นการหดตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนตามการส่งออกในบางหมวดสินค้า
ลงทุนเอกชนยังซบเซา
สำหรับตัวเลขการลงทุนภาคเอกชน ครั้งนี้ถือเป็นตัวเลขที่ซบเซาที่สุด โดยหดตัวสูง -4.9% จากเดือนก่อนหน้าหดตัว -2% ตามการลงทุนทั้งด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และด้านการก่อสร้าง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องมาตรการพักชำระหนี้ และคำสั่งซื้อยังไม่เข้ามา ขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังหดตัวสูงต่อเนื่องจากระยะเดียวของปีก่อนจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่ยังมีอยู่
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอน หดตัว -10.9% มาจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำที่ล่าช้า อย่างไรก็ดี รายจ่ายลงทุนยังขยายตัว 3.6% ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว 18.9% ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพยุงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงตามราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากการใช้มาตรการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงเล็กน้อยตามการขาดดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เพิ่มขึ้น และดุลการค้าเกินดุลใกล้เคียงเดิม
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันธปท.มีการติดตามการเคลื่อนไหวของ ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด 24 ชั่วโมง โดยยอมรับว่า ปัจจุบัน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นในพ.ย. 2563 หากเทียบกับ เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยพบว่าค่าเงินบาท ในเดือน พ.ย. ตั้งแต่ต้นเดือน ถึง 27 พ.ย. ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.9% จากเดือน ต.ค.ที่แข็งค่า 0.4 % แต่หากดูค่าเงินบาท ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันพบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาราว 1.1 % ขณะที่ ความผันผวนของค่าเงินบาทพบว่าเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น เป็นกว่า 5% จากค่าเฉลี่ยในปี 2562 ที่อยู่ที่กว่า 4%
สาเหตุหลักๆมาจากเงินทุนไหลเข้าที่กลับเข้ามา หลังจากก่อนหน้านี้ ที่มีการดึงเงินกลับ เพราะมองว่าขณะนี้ไทยมีข่าวดีจากข่าวการพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ที่เป็นผลดีกับการท่องเที่ยวไทย ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นรับต่างชาติเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ยอมรับว่า เห็นพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ในการเข้ามาลงทุนในไทย และตลาดเกิดใหม่บ้าง แต่ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังเก็งกำไรทั้งหมด เพราะการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน ส่วนใหญ่มีการคำนึงถึงผลตอบแทน และเพื่อต้องการบริหารสภาพคล่องระยะสั้น ซึ่งธปท.พยายามดูแลเพื่อไม่ให้ผันผวนสูงจนเกินไป แต่ไม่ใช่ปิดกั้นการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เพราะสิ่งที่ธปท.กังวล คือผลข้างเคียงของนักลงทุน ที่ต้องการเข้ามาลงทุนเพราะมองว่าประเทศไทยมีผลตอบแทนที่ดี และมีพื้นฐานที่ดี
โดยในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ธปท.เตรียมจะแถลงข่าวแพ็คเกจ การดูแลค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจใหญ่ ในการดูแลปัญหาเชิงโครงสร้างของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเอื้อให้ค่าเงินบาท เคลื่อนไหว 2 ทิศทางมากขึ้น และเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความทนทานต่อการเคลื่อนของค่าเงินบาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ครบองค์ประกอบ
"ความผันผวนค่าเงินบาท ไม่ใช่แค่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น แต่ยังมาจากโครงสร้างของอัตราแลกเปลี่ยนไทยด้วย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาแก้ไข ซึ่งแบงก์ชาติพยายามแก้ไขให้ครบองค์ประกอบ เพื่อให้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวแก้ไปสู่จุดเดียวกัน เพื่อทำให้เงินบาทเคลื่อนไหว 2 ทิศทางมากขึ้น"
บาททรงตัวรอมาตรการ
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทปิดตลาดวานนี้ที่ 30.29 บาทต่อดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 30.28 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 30.26-30.33 บาทต่อดอลลาร์ โดยดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโร ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน
นักบริหารเงิน ระบุว่า ปัจจัยที่ตลาดจับตาดูเป็นเรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศ และรายละเอียดแพ็คเกจมาตรการดูแลค่าเงินบาทของธปท. ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้(1ธ.ค.) ไว้ที่ 30.25-30.35 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นไทยออกมาค่อนข้างมาก โดยขายสุทธิถึง 4,372 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 254 ล้านบาท
คาดศก.ไตรมาส4ฟื้นต่อเนื่อง
ธปท.ยังได้แถลงภาพรวมเศรษฐกิจต.ค. พบว่า การหดตัวเศรษฐกิจสูงขึ้นหลังหมดปัจจัยบวกชั่วคราวจากวันหยุดยาวที่หมดไป แต่เชื่อว่าโดยรวมเศรษฐกิจอยู่ในทิศทางฟื้นตัว และจะเอื้อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 4 ได้ต่อ
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนกลับมาหดตัว -1.1% จากที่ขยายตัวได้เล็กน้อยในเดือนกันยายนที่ระดับ 0.4% หลังจากปัจจัยชั่วคราววันหยุดยาวพิเศษหมดลงตามการใช้จ่ายที่ปรับลดลงในเกือบทุกหมวด โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนกลับมาหดตัว และหมวดบริการหดตัวสูงขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าคงทน เช่น กลุ่มยานยนต์มีการเติบโตดีขึ้นจากแคมเปญและโปรโมชั่น
หากมองไปข้างหน้าการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัว เป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ทยอยปรับดีขึ้น ทั้งการจ้างงานที่ปรับดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขจำนวนผู้เสมือนว่างงานที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงมีอัตราที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากสามารถหางานทำได้ แม้ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น แต่เป็นผลมาจากแรงงานที่อยู่นอกระบบทยอยเข้ามาหางานทำในระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นดัชนีที่ธปท.จับตาดูอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะลดลงแต่ยังมีความเปราะบาง และยังอยู่ในระดับสูง รายได้ของครัวเรือนภาคครัวเรือนทั้งในและนอกภาคเกษตรปรับดีขึ้น
ขณะที่การส่งออกหดตัวอยู่ที่ -5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากไม่รวม ส่งออกทองคำจะหดตัวอยู่ที่ -5% โดยเป็นการหดตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนตามการส่งออกในบางหมวดสินค้า
ลงทุนเอกชนยังซบเซา
สำหรับตัวเลขการลงทุนภาคเอกชน ครั้งนี้ถือเป็นตัวเลขที่ซบเซาที่สุด โดยหดตัวสูง -4.9% จากเดือนก่อนหน้าหดตัว -2% ตามการลงทุนทั้งด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และด้านการก่อสร้าง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องมาตรการพักชำระหนี้ และคำสั่งซื้อยังไม่เข้ามา ขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังหดตัวสูงต่อเนื่องจากระยะเดียวของปีก่อนจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่ยังมีอยู่
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอน หดตัว -10.9% มาจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำที่ล่าช้า อย่างไรก็ดี รายจ่ายลงทุนยังขยายตัว 3.6% ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว 18.9% ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพยุงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงตามราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากการใช้มาตรการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงเล็กน้อยตามการขาดดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เพิ่มขึ้น และดุลการค้าเกินดุลใกล้เคียงเดิม
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ