รายได้ค่าฟีแบงก์ทรุดถึงปี 64 คนเลิกบัตรATMหันใช้ดิจิทัล
วันที่ : 17 ธันวาคม 2563
เเนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ ทั้งระบบในปี 2564 ประเมินว่ายังคงหดตัว 3%
รายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์ทรุดหนัก "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ประเมินปี'63 หดตัว -10.5% คาดปี'64 ติดลบต่อ เจอหลายปัจจัย ทั้ง ธปท.คุมเข้ม-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนใช้ "โมบายแบงกิ้ง" แบงก์เร่งลดต้นทุน-ค่าใช้จ่ายสาขา-ตู้เอทีเอ็ม เปิดข้อมูลแบงก์ชาติ 9 เดือนแรก ยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม/เดบิตรวมเฉียด 6 ล้านใบ
รายได้ค่าฟีแบงก์วูบหนัก
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ ทั้งระบบในปี 2564 ประเมินว่ายังคงเห็นการหดตัว 3% ถึงขยายตัว 1% ด้วยมูลค่า 1.67-1.73 แสนล้านบาท จากปี 2563 ที่คาดว่าจะหดตัว 10.5% ด้วยตัวเลขรายได้ 1.72 แสนล้านบาท
สถานการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2564 ยังต้องระมัดระวัง แต่จะเห็นการทยอยฟี้นตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น เช่น หมวดเกี่ยวกับการใช้จ่าย สินเชื่อ และการขายผลิตภัณฑ์ เป็นต้น จากปี 2563 จะเห็นว่ารายได้ค่าธรรมเนียมปรับลดลงทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มบัตรต่าง ๆ อาทิ บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิตหดตัว 11% และบัตรเครดิตหดตัว 20% ขณะที่ค่านายหน้า หดตัว 6% ส่วนกลุ่มที่พอไปได้จะเป็น กลุ่มที่ปรึกษา-บริการโอนเงินภาคธุรกิจ ช่วงไตรมาส 1-2 เป็นบวก แต่ไตรมาส 3-4 เริ่มติดลบ ส่งผลทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 5%
ค่าฟีตัวหลัก "ขายประกัน"
"รายได้ค่าธรรมเนียมจะแบ่งเป็น 2-3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มสินเชื่อที่คาดว่าจะขยายตัวได้เล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตไม่สูงมาก 2.กลุ่มรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุน กลุ่มนี้มีสัญญาณดีขึ้น แต่เทียบในช่วง 2-3 ปีก่อนโควิด-19 ยังไม่ได้กลับไปสู่ระดับเดิม และ 3.กิจกรรมตลาดทุน ซึ่งสัดส่วนรายได้ไม่สูงประมาณ 2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ตัวอื่น ๆ กรณีการขายประกันสัดส่วน 22% บัตรเอทีเอ็ม-เดบิตราว 17% โดยรวมมองว่าปีหน้ารายได้ค่าฟียังคงปริ่ม ๆ"
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของธนาคารพาณิชย์ จะแบ่งเป็นรายได้จากสินเชื่อหรือดอกเบี้ยประมาณ 80% และรายได้ ค่าธรรมเนียมประมาณ 20% โดยใน ปี 2562 สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ราว 20.4% และใน ปี 2563 ลดลงเหลือ 19.6% คาดว่าในปี 2564 สัดส่วนจะอยู่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ดี ช่วงก่อนการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ จะเห็นรายได้ค่าธรรมเนียมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 5% ต่อปี แต่ภายหลัง ยกเว้นค่าธรรมเนียมพร้อมเพย์ ประกอบกับมีสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการสินเชื่อน้อยลง รวมถึงมีเกณฑ์การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการให้บริการอย่างเป็นธรรม (market conduct) ทำให้รายได้การขายปรับลดลง ส่งผลให้ภาพรวมการเติบโตด้านค่าธรรมเนียมจำกัดมากขึ้น ซึ่งธนาคารพาณิชย์พยายามหารายได้ค่าธรรมเนียมใหม่ ๆ มาทดแทน เช่น การปล่อยสินเชื่อออนไลน์ หรือการโอนเงินต่างประเทศก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง เป็นต้น
เคแบงก์ยอมรับหดตัว 30% ต่อปี
นายพัชร สมะลาภา กรรมการ ผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้ม รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารยังคงเห็นการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีประมาณ 30% เนื่องจากลูกค้าหันไปใช้ช่องทางโมบายแบงกิ้งค่อนข้างมาก ซึ่งธนาคารไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม จึงเห็นรายได้ลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่มีบริการพร้อมเพย์
ขณะเดียวกันปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ก็ไม่นิยมทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต เน้นทำธุรกรรมบนโมบายแอป ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนของบัตรก็ลดลงด้วย โดยตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค. 2563 ยอดสมัครบัตรเดบิตของเคแบงก์อยู่ที่ 2.73 ล้านใบ จากฐานลูกค้าบัตรเดบิต ณ เดือน ต.ค. 2563 อยู่ที่ 12 ล้านใบ และมียอดการใช้จ่ายบัตรเดบิต (ม.ค.ต.ค. 63) อยู่ที่ราว 6.85 หมื่นล้านบาท
"ค่าธรรมเนียมลดลงต่อเนื่อง และยังคงเห็นการลดลงอีกเรื่อย ๆ หากดูช่วง 1-2 ปีหลัง รายได้ธนาคารหายไปราว 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งลดลงทั้งจากการปรับดอกเบี้ย MLR, MRR, MOR รวมทั้งดอกเบี้ยบัตรต่าง ๆ และยังมีค่าธรรมเนียมจากพวกเงินโอนต่าง ๆ ที่ธนาคารให้ฟรีมาตลอด ซึ่งก็พยายามหารายได้อื่นมาทดแทน แต่คงไม่สามารถชดเชยได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง"
ปีแรกที่ถอนเงินสด "ลดลง"
ด้านนางปรัศนี อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหันมาให้บริการกดเงินไม่ใช้บัตร ส่งผลต่อรายได้ค่าธรรมเนียมจากบัตรเดบิต-เอทีเอ็ม ปรับลดลงแน่นอน อย่างไรก็ดี ยังคงมีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ยังต้องการถือบัตรเดบิตและเอทีเอ็ม เนื่องจากสามารถเบิกถอนเงินต่างธนาคารได้ทุกตู้ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว เพราะกรณีกดเงินไม่ใช้บัตรต้องใช้บริการจากตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้น ๆ ภาพรวมค่าธรรมเนียมของบัตรหายไปบ้าง แต่เป็นการทยอยปรับลดลง
ขณะเดียวกันแนวโน้มการใช้เงินสดปรับลดลงด้วย โดยปีนี้มูลค่าการถอนเงินสดลดลงราว 8% ซึ่งเป็นปีแรกที่การถอนเงินสดลดลง และทิศทางการใช้ตู้เอทีเอ็มลดลงต่อเนื่อง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่โยกไปใช้บริการบนดิจิทัล ดังนั้น ในอนาคตต้นทุนของการติดตั้งตู้เอทีเอ็มจะปรับลดลง หรือผลักดันให้เกิดการรวมตัวเป็นเอทีเอ็มสีขาว (white label ATM) ตามนโยบายของ ธปท. ส่งผลให้ต้นทุนการบริหารจัดการลดลง สอดคล้องกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่ปรับลดลงได้
สอดคล้องกับนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมทยอยปรับลดลงต่อเนื่องทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากคนทยอยหันไปใช้บริการดิจิทัลมากขึ้น หรือทำธุรกรรมในส่วนที่ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ วิธีการบริหารจัดการของธนาคาร คือ การลดต้นทุนทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 32-35% จากปัจจุบันอยู่ที่ 45% รวมถึง การขยายช่องทางความร่วมมือผ่านการ จัดตั้งตัวแทนธนาคาร (banking agent) ในการทำธุรกรรมแทนการเปิดสาขา หรือเพิ่มจำนวนเอทีเอ็ม
เลิกใช้ ATM/เดบิต 6 ล้านใบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า จำนวนบัตรเอทีเอ็มโดยรวมทั้งระบบ ณ เดือน ก.ย. 2563 อยู่ที่ 10.79 ล้านใบ ลดลงจากสิ้นปี 2562 ที่มีจำนวน 15.32 ล้านใบ โดยลดลงถึง 4.52 ล้านใบ รวมทั้งในส่วนของบัตรเดบิตข้อมูลล่าสุดมีจำนวน 63.92 ล้านใบ จากเมื่อ ธ.ค. 2562 มีจำนวน 64.77 ล้านใบ ซึ่งถือว่าปรับลดลงประมาณ 8.5 แสนใบ
รายได้ค่าฟีแบงก์วูบหนัก
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ ทั้งระบบในปี 2564 ประเมินว่ายังคงเห็นการหดตัว 3% ถึงขยายตัว 1% ด้วยมูลค่า 1.67-1.73 แสนล้านบาท จากปี 2563 ที่คาดว่าจะหดตัว 10.5% ด้วยตัวเลขรายได้ 1.72 แสนล้านบาท
สถานการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2564 ยังต้องระมัดระวัง แต่จะเห็นการทยอยฟี้นตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น เช่น หมวดเกี่ยวกับการใช้จ่าย สินเชื่อ และการขายผลิตภัณฑ์ เป็นต้น จากปี 2563 จะเห็นว่ารายได้ค่าธรรมเนียมปรับลดลงทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มบัตรต่าง ๆ อาทิ บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิตหดตัว 11% และบัตรเครดิตหดตัว 20% ขณะที่ค่านายหน้า หดตัว 6% ส่วนกลุ่มที่พอไปได้จะเป็น กลุ่มที่ปรึกษา-บริการโอนเงินภาคธุรกิจ ช่วงไตรมาส 1-2 เป็นบวก แต่ไตรมาส 3-4 เริ่มติดลบ ส่งผลทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 5%
ค่าฟีตัวหลัก "ขายประกัน"
"รายได้ค่าธรรมเนียมจะแบ่งเป็น 2-3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มสินเชื่อที่คาดว่าจะขยายตัวได้เล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตไม่สูงมาก 2.กลุ่มรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุน กลุ่มนี้มีสัญญาณดีขึ้น แต่เทียบในช่วง 2-3 ปีก่อนโควิด-19 ยังไม่ได้กลับไปสู่ระดับเดิม และ 3.กิจกรรมตลาดทุน ซึ่งสัดส่วนรายได้ไม่สูงประมาณ 2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ตัวอื่น ๆ กรณีการขายประกันสัดส่วน 22% บัตรเอทีเอ็ม-เดบิตราว 17% โดยรวมมองว่าปีหน้ารายได้ค่าฟียังคงปริ่ม ๆ"
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของธนาคารพาณิชย์ จะแบ่งเป็นรายได้จากสินเชื่อหรือดอกเบี้ยประมาณ 80% และรายได้ ค่าธรรมเนียมประมาณ 20% โดยใน ปี 2562 สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ราว 20.4% และใน ปี 2563 ลดลงเหลือ 19.6% คาดว่าในปี 2564 สัดส่วนจะอยู่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ดี ช่วงก่อนการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ จะเห็นรายได้ค่าธรรมเนียมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 5% ต่อปี แต่ภายหลัง ยกเว้นค่าธรรมเนียมพร้อมเพย์ ประกอบกับมีสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการสินเชื่อน้อยลง รวมถึงมีเกณฑ์การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการให้บริการอย่างเป็นธรรม (market conduct) ทำให้รายได้การขายปรับลดลง ส่งผลให้ภาพรวมการเติบโตด้านค่าธรรมเนียมจำกัดมากขึ้น ซึ่งธนาคารพาณิชย์พยายามหารายได้ค่าธรรมเนียมใหม่ ๆ มาทดแทน เช่น การปล่อยสินเชื่อออนไลน์ หรือการโอนเงินต่างประเทศก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง เป็นต้น
เคแบงก์ยอมรับหดตัว 30% ต่อปี
นายพัชร สมะลาภา กรรมการ ผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้ม รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารยังคงเห็นการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีประมาณ 30% เนื่องจากลูกค้าหันไปใช้ช่องทางโมบายแบงกิ้งค่อนข้างมาก ซึ่งธนาคารไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม จึงเห็นรายได้ลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่มีบริการพร้อมเพย์
ขณะเดียวกันปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ก็ไม่นิยมทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต เน้นทำธุรกรรมบนโมบายแอป ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนของบัตรก็ลดลงด้วย โดยตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค. 2563 ยอดสมัครบัตรเดบิตของเคแบงก์อยู่ที่ 2.73 ล้านใบ จากฐานลูกค้าบัตรเดบิต ณ เดือน ต.ค. 2563 อยู่ที่ 12 ล้านใบ และมียอดการใช้จ่ายบัตรเดบิต (ม.ค.ต.ค. 63) อยู่ที่ราว 6.85 หมื่นล้านบาท
"ค่าธรรมเนียมลดลงต่อเนื่อง และยังคงเห็นการลดลงอีกเรื่อย ๆ หากดูช่วง 1-2 ปีหลัง รายได้ธนาคารหายไปราว 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งลดลงทั้งจากการปรับดอกเบี้ย MLR, MRR, MOR รวมทั้งดอกเบี้ยบัตรต่าง ๆ และยังมีค่าธรรมเนียมจากพวกเงินโอนต่าง ๆ ที่ธนาคารให้ฟรีมาตลอด ซึ่งก็พยายามหารายได้อื่นมาทดแทน แต่คงไม่สามารถชดเชยได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง"
ปีแรกที่ถอนเงินสด "ลดลง"
ด้านนางปรัศนี อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหันมาให้บริการกดเงินไม่ใช้บัตร ส่งผลต่อรายได้ค่าธรรมเนียมจากบัตรเดบิต-เอทีเอ็ม ปรับลดลงแน่นอน อย่างไรก็ดี ยังคงมีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ยังต้องการถือบัตรเดบิตและเอทีเอ็ม เนื่องจากสามารถเบิกถอนเงินต่างธนาคารได้ทุกตู้ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว เพราะกรณีกดเงินไม่ใช้บัตรต้องใช้บริการจากตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้น ๆ ภาพรวมค่าธรรมเนียมของบัตรหายไปบ้าง แต่เป็นการทยอยปรับลดลง
ขณะเดียวกันแนวโน้มการใช้เงินสดปรับลดลงด้วย โดยปีนี้มูลค่าการถอนเงินสดลดลงราว 8% ซึ่งเป็นปีแรกที่การถอนเงินสดลดลง และทิศทางการใช้ตู้เอทีเอ็มลดลงต่อเนื่อง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่โยกไปใช้บริการบนดิจิทัล ดังนั้น ในอนาคตต้นทุนของการติดตั้งตู้เอทีเอ็มจะปรับลดลง หรือผลักดันให้เกิดการรวมตัวเป็นเอทีเอ็มสีขาว (white label ATM) ตามนโยบายของ ธปท. ส่งผลให้ต้นทุนการบริหารจัดการลดลง สอดคล้องกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่ปรับลดลงได้
สอดคล้องกับนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมทยอยปรับลดลงต่อเนื่องทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากคนทยอยหันไปใช้บริการดิจิทัลมากขึ้น หรือทำธุรกรรมในส่วนที่ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ วิธีการบริหารจัดการของธนาคาร คือ การลดต้นทุนทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 32-35% จากปัจจุบันอยู่ที่ 45% รวมถึง การขยายช่องทางความร่วมมือผ่านการ จัดตั้งตัวแทนธนาคาร (banking agent) ในการทำธุรกรรมแทนการเปิดสาขา หรือเพิ่มจำนวนเอทีเอ็ม
เลิกใช้ ATM/เดบิต 6 ล้านใบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า จำนวนบัตรเอทีเอ็มโดยรวมทั้งระบบ ณ เดือน ก.ย. 2563 อยู่ที่ 10.79 ล้านใบ ลดลงจากสิ้นปี 2562 ที่มีจำนวน 15.32 ล้านใบ โดยลดลงถึง 4.52 ล้านใบ รวมทั้งในส่วนของบัตรเดบิตข้อมูลล่าสุดมีจำนวน 63.92 ล้านใบ จากเมื่อ ธ.ค. 2562 มีจำนวน 64.77 ล้านใบ ซึ่งถือว่าปรับลดลงประมาณ 8.5 แสนใบ
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ