คลังเร่งคลอดมาตรการฟื้นศก. ปัดแจก4พัน-เพิ่มเงินคนละครึ่ง
Loading

คลังเร่งคลอดมาตรการฟื้นศก. ปัดแจก4พัน-เพิ่มเงินคนละครึ่ง

วันที่ : 7 มกราคม 2564
 คลัง ผุด เเคมเปญกระตุ้นศก. - ปัดเพิ่มวงเงินและขยาย คนละครึ่ง ยันไม่ได้แจกเงิน 4 พันบาท 2 เดือน 40 ล้านคน
         
          "สุพัฒนพงษ์" ขอเวลาประเมินผลกระทบโควิด-19 อีก 7 วัน ก่อนคลอดมาตรการเยียวยา ยืนยันยังไม่ได้ข้อสรุปฟื้น "เราไม่ทิ้งกัน 2" ขณะที่คลังเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชงเข้า ครม.เร็วๆ นี้ ย้ำรัฐบาล มีเม็ดเงินเพียงพอรองรับดูแลเศรษฐกิจ ปัดเพิ่มวงเงินและขยาย "คนละครึ่ง" ยันไม่ได้แจกเงิน 4 พันบาท 2 เดือน 40 ล้านคน ด้าน รมว.เกษตรฯ สั่งเตรียมพร้อมเยียวยาเกษตรกร 8 ล้านราย ส่วน กกร. แนะรัฐเพิ่มวงเงิน "คนละครึ่ง" เป็น 5,000 บาท ลดภาระ ปชช.คุมแรงงานผิดกฎหมาย วัคซีนทั่วถึง พร้อม หั่นจีดีพี ปี 64 โตในกรอบ 1.5-3.5%

          หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจ โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและกระทรวงการคลัง สำนัก งบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เข้ามาดูแลและหามาตรการเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใน 2 เดือนนี้นั้น

          นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า ขณะนี้ต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อนอีก 7 วัน ยังมองสถานการณ์ไม่ออก เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังกระจุกตัวอยู่ ส่วนมาตรการเยียวยาที่จะออกมาต้องให้หน่วยงานต่างๆ ออกมา ทุกอย่างต้องประเมินสถานการณ์ก่อน ต้องเกาให้ถูกที่คัน

          ส่วนกระแสข่าวที่จะออกมาตรการ เราไม่ทิ้งกันภาคสอง หรือแจกเงินคนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน "ยังไม่รู้"

          น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังยังไม่ได้มีการพิจารณาขยายโครงการคนละครึ่งในช่วงนี้ โดยยืนยันว่าขณะนี้ยังดำเนินการโครงการ ตามเงื่อนไขเดิมคือ รัฐสนับสนุนวงเงินให้ 3,500 บาท เพื่อให้ใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 150 บาท ไปจนถึง 31 มี.ค.64 เท่านั้น อย่างไรก็ตามจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

          ส่วนกระแสข่าวที่คลังจะออกมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 40 ล้านคน แจกเงินคนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือนนั้น ไม่ใช่ความจริง โดยคลังยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงสภาพัฒน์ เมื่อมีข้อสรุปจะมีการนำเสนอให้ รมว.คลัง พิจารณาใน ขั้นต่อไป แต่ยืนยันว่ายังมีวงเงินเพียงพอสำหรับใช้ดูแลการแพร่ระบาดรอบนี้

          โดยภาครัฐมีแหล่งเงินทั้งในส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 จำนวนกว่า 1.39 แสนล้านบาท และเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 ในส่วนที่เหลือ จำนวน 4.7 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2563) และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 2.9 แสนล้านบาท ที่จะดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ต่อไป

          ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมในการเยียวยาเกษตรกรเพื่อความรวดเร็วทันทีที่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเยียวยาอย่างไร ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะนายทะเบียนตรวจสอบรายชื่อเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในโครงการเยียวยาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเกษตรกรประมาณ 8 ล้านรายได้รับเงินเยียวยารายละ 15,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน มิ.ย- ส.ค. โดยรัฐมนตรีเกษตรฯ ยังมอบนโยบายให้เกษตรกรรายใหม่และที่ตกหล่นสามารถ ลงทะเบียนได้ครบถ้วนโดยต้องครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและทุกขั้นตอนต้อง ตรวจสอบความถูกต้อง

          สำหรับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 สศก. ในฐานะนายทะเบียนจัดส่ง รายชื่อเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและได้ตรวจสอบแล้ว ให้ ธ.ก.ส. โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย เกษตรกรกลุ่มพืช กลุ่มปศุสัตว์ กลุ่มประมง กลุ่ม หม่อนไหม กลุ่มชาวไร่อ้อย และกลุ่มชาวไร่ยาสูบ โดย 2 กลุ่มหลังขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังตามลำดับโดยส่งทะเบียนเกษตรกรผ่าน สศก. ก่อน ส่งให้ ธ.ก.ส. โอนตรงให้เกษตรกร

          กกร.ยื่น 4 ข้อเสนอให้รัฐเร่งขับเคลื่อนเร่งด่วน

          นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทยเปิดเผยหลังการประชุม กกร.ประจำเดือนมกราคม 2564 ว่า  กกร.ได้มีการประเมินภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2564 จะช้าไปจากเดิมที่เคยประมาณการไว้ช่วง ธ.ค.63 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศรอบใหม่ที่หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระยะเวลา 3 เดือนและมีการใช้งบประมาณเพิ่มเติม 2 แสนล้านบาทในการพยุงเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย(GDP) ปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5- 3.5% ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่า ขยายตัวได้ 2-4% ส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเพียง 3-5% จากเดิม 4-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8-1.0% จากเดิม 0.8-1.2%

          สำหรับข้อเสนอ กกร.ได้แก่ 1. ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด  ให้ตรงจุด ควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสมเพื่อระงับการแพร่ระบาด และเร่งจับผู้กระทำผิดทั้งบ่อนการพนัน และการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย

          2. ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการให้ชัดเจนปฏิบัติได้เร็วและให้ส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่งออกไปอีก 3 เดือนและเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคล เป็น 5,000 บาท มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับ ผลกระทบ เช่น ลดค่าไฟ 5% รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Ware housing และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) อย่างมีประสิทธิภาพ

          3. เร่งรัดเรื่องวัคซีนให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลาและมีปริมาณที่เพียงพอรวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม และ 4. เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือ RCEP ในการประชุมรัฐสภาเพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือน พ.ย. 63 มีผลบังคับใช้กลางปีนี้ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง