เน็กซัสฯคาดราคาคอนโดฯในเมืองเทรนด์ขาลง โควิดฉุด ดีมานด์ใหม่ ฟื้นช้า
Loading

เน็กซัสฯคาดราคาคอนโดฯในเมืองเทรนด์ขาลง โควิดฉุด ดีมานด์ใหม่ ฟื้นช้า

วันที่ : 14 มกราคม 2564
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ปรับสมมติฐานในปี 2564 คาดว่าจะมีแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะลดลง -10%
          อสังหาริมทรัพย์

          ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ สร้างความบอกซ้ำ ซ้ำเติมภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ช่วง ครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ธุรกิจเริ่มกลับมาค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งในมุมที่มีผลต่อตลาดภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังเกิดโควิด-19 ระลอกใหม่ ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ปรับสมมติฐานในปี 2564 คาดว่าจะมีแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะลดลง -10% แต่ทั้งนี้ การปรับ ลดลงดังกล่าว จะต้องมาพิจารณาในเรื่องของวัคซีนที่จะเข้ามา และประชุมเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (กนง.) ภาคธุรกิจต่างๆ มีการดำเนินธุรกิจได้สู่ภาวะปกติ ไม่เกิดการเลิกจ้างจนเกิดปัญหาลุกลามรวมถึงต้องมาพิจารณามาตรการต่างๆ ที่จะออกมาจากภาครัฐบาล จะเป็นตัวสนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯปีนี้ ปรับลดลงไม่มาก

          โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ฉายภาพว่า ในความเป็นจริง ตัวเลขการเปิดโครงการใหม่ทั่วประเทศ มีสัญญาณปรับลดลงมาตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ตัวเลขที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทั่วประเทศในปี 62 ลดลง -13% มูลค่าที่เปิดขายใหม่ลดลง -15% โดยกลุ่มของโครงคอนโดมิเนียมลดมาตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2563 แต่แนวโน้มในปี 2564 จะมีตัวเลขเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 25.1% แต่ยังต่ำกว่า เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่สูงถึง 95,677 หน่วย

          หากมาดูในด้านที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ ตั้งแต่ปี 62 จนมาถึงประมาณการในปี 2564 ยังอยู่ระดับต่ำกว่า 95,000 หน่วยต่อปี และยังอยู่ห่างกับจำนวนที่ขายได้ใหม่ใน ปี 2561 ที่ทั้งประเทศทำได้ 158,664 หน่วย รวมถึงการลดลงของมูลค่าการขายได้ใหม่ ก็มีผลต่อรายได้และกระแสเงินสดของผู้ประกอบการเช่นกัน โดยจะเห็น ได้ว่า ในปี 61 ทั่วประเทศทำได้ 622,461 ล้านบาท แต่ประมาณการในปี 64 คาดมีมูลค่า 405,058 ล้านบาท

          ทั้งนี้ หากมาพิจารณาถึงซัปพลายในปี 63 นั้น ทางศูนย์ฯประเมินว่า ซัพพลายที่เปิดขายใหม่ (ไม่นับรวมบ้านมือสอง) หดตัวลง -46.6 (จาก 148,639 หน่วย ใน ปี 2562 เหลือ 79,408 หน่วย ในปี 2563) โดยที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรหดตัวลง -34.7 และที่อยู่อาศัย ประเภทอาคารชุดหดตัวลง -59.2 ส่วนมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ หดตัวลง -30.6 (จาก 608,727 ล้านบาท ในปี 2562 เหลือ 422,243 ล้านบาท ในปี 2563)

          ในปี 2564 คาดว่าจำนวนหน่วย Supply ที่เปิด ขายใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.9% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มจากฐานที่ต่ำในปี 2563 โดยมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้พัฒนาหลักในการเพิ่ม Supply เปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาด และคาดว่าที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรจะมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 4.1% และอาคารชุดจะจำนวนเพิ่มขึ้น 25.1%

          แหล่งข่าวในวงการอสังหาฯ กล่าวว่า ต้องจับตาเรื่องของกำลังซื้อในภาคอสังหาฯ เพราะเศรษฐกิจและธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน หรือแม้แต่ธุรกิจเอสเอ็มอีและภาคการส่งออก ออเดอร์ในการผลิตและส่งออก ปรับตัวลดลง ขณะที่เรื่องของการปรับลดเวลาทำงานและลดเงินเดือน ยังคงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อในปีนี้

          "ถ้ากำลังซื้อฟื้นตัว ผู้ประกอบการคงไม่ดัมป์ราคาดุเดือด แค่เดือนแรกของปี 64 หลายแห่ง ก็จัดโปรโมชันกระตุ้นการโอนที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ช่วงปีกว่า ตลาด อสังหาฯดูดกำลังซื้อไปเป็นจำนวนมาก คำถามคือ กำลังซื้อใหม่ จะไหลเข้าสู่ตลาดได้มากน้อยแค่ไหน แม้แต่ ภาคการเงิน ยังเข้มปล่อยสินเชื่อ"

          เน็กซัสฯคํดรํคํคอนโดฯ กทม.ทรงตัว อานิสงส์เปิดโครงการน้อย อัตราดูดซับดี

          นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมมีการปรับตัว มากที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งสาเหตุหลักมีอยู่ 2 ประการ คือการชะลอตัวของตลาดจากกำลังซื้อที่ลดลงต่อเนื่องจาก ปี 2562 ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ พบว่าปี 2563 มีคอนโดฯเกิดขึ้นใหม่เพียง 20,100 หน่วย จาก 64 โครงการ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 39% จากอัตราการ เพิ่มเฉลี่ยคอนโดฯในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 51,000 หน่วยต่อปีการเพิ่มขึ้นของคอนโดฯ อีก 20,100 หน่วยนี้ ส่งผลให้คอนโดฯมีหน่วยสะสมในตลาดทั้งสิ้น 674,100 หน่วยส่วนสาเหตุการชะลอตัวของอุปทานใหม่ในตลาด ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่เลื่อนการเปิดตัวหรือ หยุดโครงการไปถึง 5,800 หน่วย 18 โครงการคิดเป็น 29% ของคอนโดฯในตลาดที่เปิดใหม่ปี 2563

          จุดเปลี่ยนสำคัญในตลาดในแง่ของอุปทาน คือ ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาคอนโดฯ ในระดับราคาที่จับต้องได้สำหรับคนไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ต่อเนื่องจากปี 2562 โดยสัดส่วนคอนโดฯระดับกลาง (mid market) และซิตี้คอนโดมีถึง 60% และตลาดใหม่คอนโดฯ ราคาย่อมเยาบนทำเลนอกเมือง (affordable market)ที่มีระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทหรือต่ำกว่า 50,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) มีจำนวนถึง 3,600 หน่วยคิด เป็น 18% ของอุปทานใหม่ในปี 2563 เลยทีเดียว (จาก ที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คอนโดฯกลุ่มนี้ ซัพพลายใหม่ ออกสู่ตลาดน้อยมาก) ในขณะเดียวกันลดสัดส่วน คอนโดฯ ในระดับไฮเอนด์และลักชัวรีลงเป็นอย่างมาก เหลือเพียง 22% ของคอนโดฯ ใหม่ในตลาดทั้งหมด

          ทั้งนี้ การพัฒนาสินค้าคอนโดฯที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นมีผลโดยตรงกับทำเล โดยในช่วงปีที่ผ่านมา มีคอนโดฯตลาดใหม่เกิดขึ้นในบริเวณรอบนอกเมืองหรือปริมณฑลเนื่องจากการที่มีรถไฟฟ้าที่ไกลออกจากใจกลางเมือง ทั้งฝั่งเมืองตะวันออกและทางเหนือของกรุงเทพฯ มีจำนวนหน่วยมากถึง 4,400 ยูนิต โดยสัดส่วนคอนโดฯใน ทำเลใหม่นี้ คิดเป็น 21% ของคอนโดฯใหม่ทั้งหมดในตลาด

          สำหรับตลาดรอบใจกลางเมืองนั้น อุปทานที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ยังเป็นบริเวณสุขุมวิทตอนปลาย คิดเป็นประมาณ 20% ของจำนวนคอนโดฯใหม่ในตลาด ในทางตรงกันข้าม ตลาดใจกลางเมืองบริเวณสาทร หลังสวน และสุขุมวิทตอนต้นมีคอนโดฯใหม่เกิดขึ้นเพียง 11% หรือประมาณ 2,250 หน่วยเท่านั้น

          เมื่อพิจารณาในด้านยอดขายพบว่า ในปี 2563 ยอดขายคอนโดฯในตลาดกรุงเทพฯ มีจำนวนรวม ทั้งสิ้น 32,800 หน่วย โดยแบ่งเป็นยอดขายจากห้องชุด ที่เปิดใหม่ในปี 2563 จำนวน 9,100 หน่วย (คิดเป็น ยอดขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดใหม่อยู่ที่ 45%) และ ห้องชุดที่เปิดขายก่อนปี 2563 มียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 23,700 หน่วย ทั้งนี้ ยอดขายที่สูงกว่าอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราขายรวมในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 93%

          ผู้ซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นผู้บริโภคที่ซื้อคอนโดฯเพื่ออยู่อาศัยเอง ผู้ซื้อเพื่อการลงทุนมีในสัดส่วนที่ไม่มาก และการเก็งกำไรแทบจะหายไปจากตลาดอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่กระตุ้นยอดขาย คือ การลดราคาของผู้ประกอบการนั่นเอง

          สำหรับราคาขายคอนโดมิเนียมนั้น มีการปรับตัวลดลงตั้งแต่ครึ่งปีแรกในอัตรา 16% และปรับลดลง อีก 4% ในช่วงไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ไตรมาสที่ 4 มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบราคาที่ลดลงตลอดทั้งปี พบว่าราคาคอนโดมิเนียมในตลาดลดลงถึง11% จาก 141,800 บาทต่อตร.ม.ในปี 2562 เป็น 126,900 บาทต่อ ตร.ม.ในปี 2563 โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาปรับลดลงนั้นมาจากการที่ผู้ประกอบการลดราคาเพื่อระบายสต๊อก และโครงการใหม่ๆ ที่เปิดตัวเป็นโครงการระดับกลาง และ Affordable Condo ที่ตอบรับกับความสามารถ ในการซื้อส่วนใหญ่ของคนกรุงเทพฯมากขึ้นนั่นเอง

          หันทำคอนโดฯเจาะกลุ่มคนไทย ราคาจับต้องได้

          แนวโน้มตลาดคอนโดฯในปี 2564 นั้น นางนลินรัตน์เจริญสุพงษ์คาดการณ์ว่า อุปทานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 33,000 -38,000 หน่วย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่ชะลอการพัฒนาไปในปี 2563 และโครงการที่ผู้ประกอบการซื้อที่ดินและประกาศ แผนพัฒนาไว้แล้ว ซึ่งรวมกันมากกว่า 16,000 หน่วย โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นน่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กและมีราคาขายที่ต่ำลง ทั้งนี้ คาดว่าในครึ่งปีแรกของปี 2564 ความต้องการซื้อคอนโดฯยังคงอยู่ในระดับต่ำ หากไตรมาสที่ 3 เริ่มมีการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวน่าจะเห็นความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้น ความต้องการซื้อจะยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2563 คือในระดับ 30,000-35,000 หน่วย ซึ่งจากตัวเลขประมาณการดังกล่าวทำให้อัตราการขายรวมน่าจะคงอยู่ที่ 93% เท่ากับปี 2563 แต่ระดับราคาเฉลี่ยน่าจะยังปรับลดลงอีก สืบเนื่องจากการลดราคาของโครงการที่สร้างเสร็จและโครงการใหม่ ที่พัฒนาสำหรับตลาดระดับกลางเพิ่มขึ้น

          หากจะวิเคราะห์กลยุทธ์ทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย จากการที่ตลาดคอนโดมิเนียมโดยรวมมีการปรับตัว ทั้งเรื่องราคา อุปทานและอุปสงค์มา ตลอดปี เป็นผลทำให้ตลาดมือสองค่อนข้างชะลอตัวลง และจากทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องในทุกระดับราคา โดยเป็นการซื้อเพื่อ อยู่อาศัยจริง และหากจะมองถึงกำลังซื้อจากต่างชาติ นั้น ในขณะนี้ยังคงนิ่งอยู่ โดยคาดว่าน่าจะมีโอกาสได้ เห็นการกลับมาของต่างชาติในช่วงหลังไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

          แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว

          เทรนด์การปรับตัวในการทำธุรกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีปัจจัยกระตุ้นหลายประการ ได้แก่ 1) ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วโดยโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นสำคัญ 2) เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตมากขึ้น 3) การที่ประเทศไทยกำลังเตรียมตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลยุทธ์การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงต้องปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในทุกระยะ แต่การปรับตัวที่รวดเร็ว ก็ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในเชิงกลยุทธ์ ที่ส่งผลไปถึงราคาขาย อาทิ การปรับตัวโดยการใส่เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไปในคอนโดฯ แต่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค (Real Demand) เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อราคาคอนโดฯด้วย เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงผันผวนมีความไม่แน่นอนและกำลังซื้อต่ำ เป็นต้น หรือการปรับตัวโดยการเลือกทำเลในการพัฒนาโครงการ ทั้งนี้ สินค้าที่เน้นการลงทุน ต้องเลือกทำเลที่ดีจริง หรือรอให้ตลาดท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง และวัคซีนที่เริ่มใช้งานได้น่าจะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและการบินเริ่มกลับมา

          สำหรับคอนโดฯจะทยอยเสร็จปีนี้และภายในปี 2565 จะมีจำนวน 30,300 หน่วย น่าจะยังมีการปรับลดราคาต่อเนื่อง เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผู้ประกอบการที่หันมาพัฒนาโครงการเพื่อรายได้ระยะยาวจากค่าเช่า(Recurring Income) จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ อีกครั้ง เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการในสินค้าส่วนนี้ลดลงด้วย ผู้ประกอบการควร หันมาพัฒนาสินค้าเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้น

          ในส่วนของผู้บริโภคเอง การเลือกซื้อสินค้าต้องดูกำลังซื้อที่แท้จริงของตนเอง การหวังพึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอาจไม่ใช่ทางเลือกในขณะนี้ การพัฒนาศักยภาพปัจจัยบวกในตลาดยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และตลาดเงินโลกอยู่ในภาวะที่มีเงินล้นตลาด สามารถทำกำไรจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตลาดอสังหาริมทรัพย์

          ซัพพลายออฟฟิศ เข้าขั้นเสี่ยง 'ล้นดีมานด์' โควิด-WFH-สังคมผู้สูงอายุ จุดเปลี่ยน

          นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่าผลกระทบจากโควิด-19ในปีนี้ ส่งผลกระทบในหลายๆ ด้านต่อภาพรวมตลาดพื้นที่พาณิชยกรรม ซึ่งประกอบไปด้วยตลาดอาคารสำนักงาน อาคารศูนย์การค้า และอาคารอุตสาหกรรม ทั้งในเรื่องของดีมานด์ ซัปพลาย และราคาค่าเช่า เรียกได้ว่า ตลาดพื้นที่พาณิชยกรรมปีนี้ ยังคงทรงๆผู้ประกอบการควรพัฒนาฟังก์ชันใหม่ๆ เพื่อเสริมให้สินค้าเป็นที่ต้องการ แต่ที่กล่าวมาไม่รวมตลาดอุตสาหกรรม เนื่องจากประเทศไทยสามารถจัดการการแพร่กระจาย ของเชื้อโควิด-19 ได้ดี ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ชาวต่างชาติ ดังนั้น ตลาดอุตสาหกรรม คลังสินค้า ยังคงไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง

          จากการสำรวจตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 พบว่า อัตราการเช่าอาคารสำนักงาน ยังคงมีอัตราเช่าที่สูงที่ประมาณ 91% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ 94% โดยในปีนี้ มีซัปพลายเกิดใหม่เข้ามาในตลาดอีกประมาณ1.3 แสน ตร.ม. ทำให้มีพื้นที่สะสมรวมทั้งสิ้น 6.2 ล้าน ตร.ม.

          ในแง่ของราคาค่าเช่า ยังคงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยที่ 1% แต่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีก่อนๆ ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ปีละ 4-5% เนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์ โควิด-19 ที่ยังคงไม่คลี่คลาย ทำให้หลายบริษัทยัง ตัดสินใจที่จะไม่ขยายพื้นที่สำนักงานเพิ่มเติม หรือลดขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำเป็นลง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท

          ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดพื้นที่สำนักงานยังคง น่าจับตาอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมี ซัปพลายเกิดใหม่เข้ามาในตลาด รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.8 ล้าน ตร.ม.จากการพัฒนาที่ดินแปลงสวยใจกลางเมืองหลายแห่ง รวมถึงโซนอื่นๆ โดยรอบกรุงเทพฯก็มีการประกาศพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ วันแบงค์คอก (One Bangkok) ย่านพระรามสี่ อาคาร ดับบลิวเอชเอ (WHA Building) ย่านบางนา และ อาคารวันซิตี้เซ็นเตอร์ (One City Center) ย่านเพลินจิต จากซัปพลายจำนวนมากที่จะทยอยเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ อนาคต อำนาจการต่อรอง (bargaining power) ค่าเช่าของผู้เช่าจะมีเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อผนวกกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจในปี2564ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และในอนาคตยังมีแนวโน้มของการ ใช้พื้นที่ลดลงในระยะยาว จากการเข้าสู่ภาวะ aging society ทำให้จำนวนคนในวัยทำงานอาจจะลดลง ปัจจัยดังกล่าว อาจส่งผลให้อัตราเช่ายังคงหดตัวและค่าเช่า อาจยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า

          อย่างไรก็ตาม จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะ ในตลาด ส่งผลให้ผู้ให้เช่าอาคารสำนักงาน จำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ยังคงสามารถแข่งขันอยู่ในตลาดได้ ทั้งในแง่ของการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอาคารมากขึ้น โดยอาคารสำนักงานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลายโครงการ มีการเสริมฟังก์ชันการใช้งานพื้นที่ให้แตกต่างไปจากอาคารสำนักงานเดิมๆโดยเน้นไปที่สุขภาพของผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ เช่น การยื่นขอเป็นอาคารเขียว การเพิ่มพื้นที่ฟิตเนส สวน และ ลู่วิ่งในอาคาร การติดตั้งเครื่องกรองอากาศ PM2.5 เป็นต้นนอกจากนี้ จากการแข่งขันที่สูงขึ้นของตลาด ทำให้เรา อาจจะได้เห็นองค์ประกอบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอาคารสำนักงานในอนาคต เช่น Check-up clinic หรือ Data center อีกด้วย

          จากการระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับความเหมาะสมของการใช้งาน Co-working space ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์มาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากการเก็บข้อมูลของ บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟิลล์ ซึ่งเป็นบริษัทพาร์ตเนอร์กับเน็กซัส จากสหรัฐอเมริกาพบว่า ยังคงมีผู้เช่าให้ความสนใจพื้นที่การทำงานแบบยืดหยุ่น(Flex workspace) อยู่บ้าง แต่เป็นในรูปแบบของ Serviced office มากขึ้น เนื่องจาก Serviced office มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากกว่าอาคารสำนักงาน แบบเดิม (Traditional office) สามารถทำสัญญาได้ ตั้งแต่ 1 - 3 ปี มีห้องขนาดเล็กให้เลือกจำนวนมาก พร้อมใช้งานได้ทันที รวมถึงมีส่วนกลางและการบริการเสริมต่างๆ แต่ยังคงมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า Co-working space แต่ทั้งนี้ สัดส่วนพื้นที่การทำงานแบบยืดหยุ่นในประเทศไทย ยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับอาคารสำนักงานแบบเดิม

          นอกจากนี้ การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลให้ต้องมีการทำงานจากที่บ้าน (WFH) ซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลันแต่อย่างไรก็ตาม จากการเก็บข้อมูลของบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟิลล์ พบว่า ถึงแม้จะมีการระบาดของโควิด-19 ก็ตาม แต่วัฒนธรรมการทำงานที่บ้าน จะยังไม่เห็น มากนักในแถบเอเชีย โดยปัจจุบันการทำงานที่บ้านในเอเชียแปซิฟิกมีเพียง 2.6% และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.2% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีอีกหลายๆ บริษัทในไทย ยังต้องการเวลาในการปรับตัว รวมถึงอุตสาหกรรม บางประเภทที่ไม่เอื้อให้เกิดการทำงานที่บ้าน แต่ทั้งนี้ ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานที่บ้าน ทั้งนี้ เน็กซัสฯ มองว่า วัฒนธรรมการทำงานที่บ้านในไทย จะเป็นไปในรูปแบบกึ่งถาวรมากกว่า