อสังหาใต้ค้างสต๊อก 7.6 หมื่นล.
Loading

อสังหาใต้ค้างสต๊อก 7.6 หมื่นล.

วันที่ : 14 มิถุนายน 2564
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผย ธุรกิจอสังหาฯ ภาคใต้ ชะลอตัวต่อเนื่อง เนื่องจากผลกระทบ โควิด 19
           นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้ปีนี้ คาดว่าใน 4 จังหวัดใหญ่ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี จะชะลอตัวตลอดทั้งปี โดยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จนต้องปิดประเทศไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ทำให้ขาดกำลังซื้อจากชาวต่างชาติ ขณะที่คนในพื้นที่ก็มีรายได้ลดลง โดยสิ้นปีนี้คาดจะมีโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมค้างสต๊อกอยู่ถึง 16,941 หน่วย เพิ่มขึ้น 1 หมื่นหน่วยจากปี 63 ที่อยู่ที่ 15,952 หน่วย และค้างสต๊อกถึง 76,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 70,633 ล้านบาท

          ทั้งนี้เมื่อดูรายละเอียด ในปี 64 จะยังมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในภาคใต้ 5,019 ราย เพิ่ม 30% จากปี 63 ที่ 3,842 ราย ขณะที่ยอดขายใหม่อยู่ที่ 2,788 ราย ลดลง 13.3% จากปีก่อน 3,216 ราย และมียอดการโอน 18,556 หน่วย ลดลง 0.8% จาก 18,707 หน่วย

          จากการหารือกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต คาดว่ากว่าอสังหาฯภูเก็ต และภาคใต้จะฟื้นตัวได้ อาจต้องรอถึงครึ่งหลังของปี 65 เลย เพราะแม้ประเทศไทยจะมีการทดลองเปิดประเทศผ่านโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ในวันที่ 1 ก.ค. นี้ แต่ก็เชื่อว่าในช่วงแรกนักท่องเที่ยวต่างชาติยังจะเดินทางเข้ามาไม่มาก เพราะยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังประเทศไทยยังมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และรัฐบาลหลายประเทศก็ยังออกประกาศเตือนการเดินทางมาไทยว่ายังเป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่

          นายวิชัยกล่าวว่า กำลังซื้อภายในประเทศก็ยังชะลอตัว เพราะหลายพื้นที่ยังพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคธุรกิจ ในจังหวัดใหญ่ เช่น สงขลาก็ยังไม่ฟื้น เช่นเดียวกับรายได้ของเกษตรชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์มก็ยังมีกำลังซื้อไม่สูงนัก หลังราคาสินค้าเกษตรตกต่ามานานทั้งยางพารา และปาล์มน้ำมัน เพิ่งมาดีขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนหลังมานี้ ส่วนชาวต่างชาติที่ปกติจะเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย ก็จะน้อยเช่นกันเพราะยังได้รับผลกระทบจากโควิด และการจำกัดการเดินทางอยู่

          ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าในครึ่งหลังปี 64 จะมียอดขายที่อยู่อาศัยใหม่ 1,470 หน่วย แม้จะเยอะขึ้นกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ขายได้ 1,813 หน่วย ขณะที่มูลค่าก็ลดลงจาก 6,663 ล้านบาท เหลือเพียง 5,352 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นในช่วงหลังจากนี้จะยังเห็นผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการอสังหาฯใหม่อยู่ โดยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรรที่มีเหลือค้างสต๊อกสูงกว่าคอนโดมิเนียมค่อนข้างเยอะ ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมราคาแพงก็ยังมีทิศทางชะลอตัวเช่นกัน

          สำหรับแนวทางช่วยเหลือ ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะการสร้างกำลังซื้อให้กับโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว โดยขยายกลุ่มเป้าหมายในการสนับสนุนให้ครอบคลุมกลุ่มที่ซื้อบ้านราคามากกว่า 3 ล้านบาท และกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ ซึ่งในกลุ่มนี้จะต้องดำเนินการภายใต้การสนับสนุนจัดตั้งกองทุนในการค้าประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย.