บ้านระดับกลางจ๊ากแบกดอกเบี้ยแพง
วันที่ : 3 ตุลาคม 2565
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ทางจิตวิทยาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ เป็นกลุ่มเปราะบางด้านอาชีพ รายได้และรายจ่าย และได้รับการปฏิเสธสินเชื่อมากกว่ากลุ่มรายได้สูง
อสังหาฯซื้อ/ขายต่ำกว่า3ล้านอ่วมสุด
ค่างวดเพิ่ม500บาท/ราคาขยับขึ้น5%
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1% ถือว่าขึ้นมามากพอสมควร เมื่อเทียบกับพื้นฐานการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และย่อมมี ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาพอสังหาริมทรัพย์ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินในการลงทุนเพิ่มกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่วนผู้ซื้อจะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้นและทำให้วงเงินกู้ที่ได้รับสินเชื่อลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% ที่วงเงินสินเชื่อ 2.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ทำให้วงเงิน ที่ได้รับสินเชื่อลดลง 100,000 บาท หรือหากวงเงินกู้เท่าเดิมจะทำให้เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นเดือนละ 400 บาท ตลอด 30 ปี สวนทางกับปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และความสามารถทางการเงินของผู้ซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดี
นายวิชัยกล่าวต่อว่า ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนบ้านก็จะได้รับผลกระทบด้วย แม้เงินงวดยังไม่ขึ้น แต่การตัดชำระเงินต้นลดลง ถ้าอัตราดอกเบี้ย MRR/MLR ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน ทำให้มีการเพิ่มค่างวด ผ่อนชำระ และกลุ่มกำลังจะพ้นช่วงดอกเบี้ยโปรโมชั่นจะรีไฟแนนซ์ระหว่างธนาคารมากขึ้น
"ทางจิตวิทยาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ เป็นกลุ่มเปราะบางด้านอาชีพ รายได้และรายจ่าย และได้รับการปฏิเสธสินเชื่อมากกว่ากลุ่มรายได้สูง ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนอาจทำให้ชะลอการตัดสินใจ เพราะต้นทุนการลงทุนในการถือครองอสังหาฯ สูงขึ้น และนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นได้ผลตอบแทนดีขึ้น ซึ่งตลาดบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าระดับราคาอื่น" นายวิชัยกล่าว
นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น 0.25% จากปัจจุบัน 0.75% เป็น 1% ขณะนี้ ส่งผลต่อลูกค้าและผู้ประกอบการมีภาระผ่อนเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้ลูกค้ามีค่าผ่อนเพิ่ม 500 บาทต่อเดือน ขณะที่ผู้ประกอบการ จะมีต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น 5% แยกเป็นเงินกู้เพิ่มขึ้น 1% และค่าก่อสร้างเพิ่ม 4% คาดว่าจะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 5% ส่วนจะมีการปรับขึ้นหรือไม่อยู่ที่ผู้ประกอบการแต่ละบริษัท ดีมานด์และซัพพลายในตลาด ซึ่งคอนโดมิเนียมคาดว่าราคาจะยังทรงตัวไปถึงปี 2566 เพราะยังมีสต๊อกเก่ารอระบาย แต่ขึ้นอยู่กับทำเล อาจขึ้นราคา 1-2% ส่วนบ้านแนวราบราคาจะปรับตามต้นทุน ทั้งนี้ปัจจุบันหลังดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น มีผู้ประกอบการทำโปรโมชั่นให้อยู่ฟรี 1-2 ปี เพื่อลดภาระลูกค้า
ค่างวดเพิ่ม500บาท/ราคาขยับขึ้น5%
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1% ถือว่าขึ้นมามากพอสมควร เมื่อเทียบกับพื้นฐานการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และย่อมมี ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาพอสังหาริมทรัพย์ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินในการลงทุนเพิ่มกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่วนผู้ซื้อจะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้นและทำให้วงเงินกู้ที่ได้รับสินเชื่อลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% ที่วงเงินสินเชื่อ 2.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ทำให้วงเงิน ที่ได้รับสินเชื่อลดลง 100,000 บาท หรือหากวงเงินกู้เท่าเดิมจะทำให้เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นเดือนละ 400 บาท ตลอด 30 ปี สวนทางกับปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และความสามารถทางการเงินของผู้ซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดี
นายวิชัยกล่าวต่อว่า ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนบ้านก็จะได้รับผลกระทบด้วย แม้เงินงวดยังไม่ขึ้น แต่การตัดชำระเงินต้นลดลง ถ้าอัตราดอกเบี้ย MRR/MLR ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน ทำให้มีการเพิ่มค่างวด ผ่อนชำระ และกลุ่มกำลังจะพ้นช่วงดอกเบี้ยโปรโมชั่นจะรีไฟแนนซ์ระหว่างธนาคารมากขึ้น
"ทางจิตวิทยาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ เป็นกลุ่มเปราะบางด้านอาชีพ รายได้และรายจ่าย และได้รับการปฏิเสธสินเชื่อมากกว่ากลุ่มรายได้สูง ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนอาจทำให้ชะลอการตัดสินใจ เพราะต้นทุนการลงทุนในการถือครองอสังหาฯ สูงขึ้น และนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นได้ผลตอบแทนดีขึ้น ซึ่งตลาดบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าระดับราคาอื่น" นายวิชัยกล่าว
นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น 0.25% จากปัจจุบัน 0.75% เป็น 1% ขณะนี้ ส่งผลต่อลูกค้าและผู้ประกอบการมีภาระผ่อนเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้ลูกค้ามีค่าผ่อนเพิ่ม 500 บาทต่อเดือน ขณะที่ผู้ประกอบการ จะมีต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น 5% แยกเป็นเงินกู้เพิ่มขึ้น 1% และค่าก่อสร้างเพิ่ม 4% คาดว่าจะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 5% ส่วนจะมีการปรับขึ้นหรือไม่อยู่ที่ผู้ประกอบการแต่ละบริษัท ดีมานด์และซัพพลายในตลาด ซึ่งคอนโดมิเนียมคาดว่าราคาจะยังทรงตัวไปถึงปี 2566 เพราะยังมีสต๊อกเก่ารอระบาย แต่ขึ้นอยู่กับทำเล อาจขึ้นราคา 1-2% ส่วนบ้านแนวราบราคาจะปรับตามต้นทุน ทั้งนี้ปัจจุบันหลังดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น มีผู้ประกอบการทำโปรโมชั่นให้อยู่ฟรี 1-2 ปี เพื่อลดภาระลูกค้า
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ