STEC ก่อสร้างโต15% คว้างานใหม่5หมื่นล.
Loading

STEC ก่อสร้างโต15% คว้างานใหม่5หมื่นล.

วันที่ : 24 พฤศจิกายน 2566
STEC เผยว่า นโยบายปรับขึ้นค่าแรงยังคิดว่าการปรับจะเป็นแบบไม่รุนแรง และค่อยๆ ปรับขึ้นเป็นระยะๆ ป้องกันผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการ และเชื่อว่ารัฐอาจมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกอบการด้วย
          
         STEC กางแผนธุรกิจปี 2567 มั่นใจธุรกิจก่อสร้างปังรายได้เติบโต 10-15% แตะ 3 หมื่นล้านบาท ลุยประมูลงานเมกะโปรเจ็กต์ กว่า 2 แสนล้านบาท มั่นใจชนะไม่ต่ำ 5 หมื่นล้านบาท เร่งดันอัตรากำไรขั้นต้น คิกออฟงานอู่ตะเภา รุก Recurring Income พร้อมรับมือขึ้นค่าแรง

         นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2567 ประมาณการรายได้งานก่อสร้างเติบโต 10-15% อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยปี 2567 ยังเดินหน้าในการประมูลงานรัฐต่อเนื่อง ที่เป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ และงานของกรมทางหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตั้งเป้าร่วมประมูลงานมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท คาดชนะการประมูลประมาณ 50,000 ล้านบาท

          ทั้งนี้งานที่คาดว่าจะเปิดประมูลปีหน้า โครงการโปรเจ็กต์มอเตอร์เวย์ M5-M9-ต่อขยาย M7 ของ กรมทางหลวง โครงการทางด่วน โครงการ N2 ของ กทพ. โครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย, จิระ-อุบล พร้อมส่วนต่อขยายสนามบินสุวรรณภูมิ

          รับมือขึ้นค่าแรง

          นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู เหลือง ช่วงเริ่มต้น อาจจะยังไม่มีกำไร แต่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปี ส่วนโครงการงานอู่ตะเภาน่าจะมีการเข้าไปเตรียมงานและเริ่มงานบางส่วนได้ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ขณะเดียวกันได้เริ่มลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่ศึกษาไว้ที่จะก่อให้เกิด Recurring Incomeใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่รายได้หลัก ยังมาจากธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งบริษัทจะพยายามที่จะผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้เติบโตกว่า ปี 2566 รวมไปถึงการผลักดันบริษัทย่อย ที่แยกตัวออกไปหารายได้เพิ่มจากภายนอก

          ส่วนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงยังคิดว่าการปรับจะเป็นแบบไม่รุนแรง และค่อยๆ ปรับขึ้นเป็นระยะๆ ป้องกันผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการ และเชื่อว่ารัฐอาจมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกอบการด้วย

          ในส่วนการเตรียมรับมือคือการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน, การจ่ายค่าแรงตามผลงาน, การใช้เครื่องมือเครื่องจักรทดแทน การคิดหานวัตกรรม ใหม่ๆ ที่สามารถให้ผลผลิตที่ดีขึ้น การใช้หลักวิศวกรรมเพิ่มมูลค่างาน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการลดการจ้างงาน เป็นทางเลือกสุดท้าย

          "เคยผ่านการปรับขึ้นค่าแรงในรัฐบาลก่อนๆ มาแล้ว ช่วงที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาท โดยที่ยังคงรักษาผลประกอบการได้เป็นปกติ ซึ่งครั้งนี้ถ้ามีเกิดขึ้นอีกซึ่งก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งรัฐเองที่คงมีมาตรการต่างๆ มาช่วยเหลือและผู้ประกอบการก็คงต้องหาวิธีรับมือกันให้ได้ต่อไป" นายภาคภูมิกล่าว

          ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2566 เบื้องต้นฟื้นตัวได้ จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเป็นฤดูกาลส่งมอบงานที่จะรับรู้รายได้มากขึ้น และจะรับรู้กำไรจากการตีราคาอสังหาเพื่อการลงทุน ขณะที่เทียบ YoY คาดชะลอลงแรงจากฐานที่สูงเนื่องจากปีก่อนเป็นช่วงพีคในการรับรู้รายได้ ของโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม, สีชมพู และสีเหลือง ประกอบกับจะยังต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่ประเมินว่ายังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปีถึงจะถึงจุดคุ้มทุน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเพิ่มปริมาณผู้โดยสารต่อเที่ยวให้ได้ตามเป้าที่ 1.2 แสนล้านคน-วัน จากปัจจุบันที่ราว 4 หมื่นล้านคน-วัน

          กำไรปี 67 ที่ 710 ล้าน

          ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (+10% YoY) คาด GPM จะฟื้นดีขึ้นจากการที่จะไม่ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษการคืนพื้นที่ผิวจราจรสายสีเหลืองและค่าซ่อมแซมอุโมงค์ บึงหนองบอนที่เกิดขึ้นใน ไตรมาส 2/2566-ไตรมาส 3/2566 นอกจากนี้ STEC มีโอกาสในการเคลมเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากประกันภัย ซึ่งจะทำให้สามารถกลับการรับรู้รายการค่าใช้จ่ายและหนุน GPM ในปี 2567 ให้สูงขึ้นได้เป็น Upside เบื้องต้นเรายังคงประมาณการ

          ทั้งนี้ กำไรปกติปี 2567 แบบ Conservative ที่ 710 ล้านบาท (+35.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน) ขณะที่ใน ระยะยาวบริษัทจะขยายธุรกิจในกลุ่มที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) อาทิ การดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู, การให้เช่าพื้นที่ Data Center ซึ่งจะต้องแบกรับผลขาดทุนก่อนในช่วงแรก แต่จะสร้าง Upside ต่อมูลค่าในระยะยาว แนะนำ "ซื้อ" คงราคาเหมาะสมสิ้นปี 2567 ที่ 10.20 บาท ราคาปัจจุบันซื้อขายบน P/BV เพียง 0.7 เท่า ขณะที่ประมาณการกำไรของมีโอกาสในการปรับขึ้น และในระยะยาวมี Upside จากธุรกิจใหม่
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ