คลังชงขยายเวลา 'คุณสู้ เราช่วย' เอกชนจี้กระตุ้นใช้เงิน-เร่งเบิกงบ สอท.กังวล 'จีดีพี' ทั้งปีโตแค่1.5%
Loading

คลังชงขยายเวลา 'คุณสู้ เราช่วย' เอกชนจี้กระตุ้นใช้เงิน-เร่งเบิกงบ สอท.กังวล 'จีดีพี' ทั้งปีโตแค่1.5%

วันที่ : 23 มิถุนายน 2568
กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายเวลาโครงการคุณสู้ เราช่วย เพิ่มเติม จากที่จะสิ้นสุด 30 มิถุนายนนี้
   'สรวงศ์' รับสู้รบฉุดอิสราเอลท่องเที่ยว เชื่อแค่ชะลอ- ไม่หดตัว คลังชงขยาย 'คุณสู้ เราช่วย' ส.อ.ท.กังวลจีดีพี โตแค่ 1.5% เอกชนจี้รัฐกระตุ้นใช้เงิน ยันมีสต๊อก มันสำปะหลังพอควร ตุนเพื่อขายยาวถึง ต.ค.

   สู้รบฉุดอิสราเอลท่องเที่ยว

   เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ยกระดับการสู้รบโดยตรงตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้หลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและชาติตะวันตก แสดงความกังวลถึงความเสี่ยง ที่ความขัดแย้งจะลุกลามกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาคอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในตะวันออกกลางและเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย

   นายสรวงศ์กล่าวว่า งานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและได้ประมาณการแนวโน้มที่จะผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวอิสราเอลเดินทางเข้าไทยปี 2568 คาดว่าตลาดอิสราเอลจะได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2568 เนื่องจากเป็นพื้นที่เกิดเหตุสู้รบโดยตรง ส่งผลให้ไตรมาส 3 อาจลดลง 29%

   วิเคราะห์ผลกระทบไตรมาส3

   นายสรวงศ์กล่าวว่า ประมาณการผลกระทบเบื้องต้นแบ่งเป็น 2 กรณี ด้วยกัน ได้แก่ กรณีแรกหากฟ้นตัวภายในไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2568 จะมีอัตราการเติบโต 24% หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลประมาณ 3.5 แสนคน และสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 77,000 คน จากแนวโน้มที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 52% หรือคิดเป็น 4.27 แสนคน เมื่อเทียบกับปี 2567 ส่วนกรณีที่ 2 หากไม่สามารถเจรจายุติการสู้รบ คาดว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงประมาณ 6 เดือน ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 และกลับมาฟื้นตัวตามแนวโน้มการเดินทางปกติในเดือนธันวาคม (ใช้เวลาการฟื้นตัว 5-6 เดือน เทียบเคียงกับกรณีอิสราเอล-ฮามาส) คาดภาพรวมทั้งปี 2568 จะมีอัตราการเติบโต 19% มีจำนวน 3.35 แสนคน สูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 92,000 คน จากแนวโน้มเดิมคาดเติบโต 52% หรือคิดเป็น 4.27 แสนคน เทียบกับปี 2567

   เชื่อเที่ยวแค่ชะลอ-ไม่หดตัว

   นายสรวงศ์กล่าวว่า คาดว่าผลกระทบทั้งสองกรณีแม้จะหดตัวในไตรมาส 3 แต่จะไม่ทำให้อัตราการเติบโตในภาพรวมทั้งปี 2568 หดตัวเมื่อเทียบกับปี 2567 เนื่องจากมีการสะสมของจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอล ที่ช่วง 5 เดือนแรก เพิ่มขึ้นถึง 76% ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงมีผลกระทบเพียงทำให้อัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากความร้อนแรงกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนสถานการณ์การเดินทางเที่ยวไทยของตลาดอิหร่านช่วง 5 เดือนแรก จำนวนสะสม 28,259 คน ลดลง 28,786 คนเทียบปีก่อน ขณะที่นักท่องเที่ยวอิหร่านทั้งปี 2567 มี 64,962 คน มีเที่ยวบินตรงเข้าไทย โดยสายการบิน Mahan Air ในเส้นทางกรุงเทพฯและ จ.ภูเก็ต รวม 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

   หวั่นนทท.อิหร่านวูบ60%

   "แผนการบินเที่ยวบินตรงจากอิหร่านจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ และการปิดน่านฟ้าส่งผลต่อการสูญเสียที่นั่งโดยสาร 1,800 ที่นั่งต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ปี 2561 สหรัฐดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เพื่อลดการพัฒนากิจกรรมเกี่ยวกับนิวเคลียร์ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวอิหร่านลดลงทันที 60% ต่อเตือน เทียบเคียงเหตุดังกล่าว จึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอิหร่านช่วงปลายปีอาจลดลงสูงถึง 60% เนื่องจากปัจจัยทางสงคราม และไม่มีเที่ยวบินตรงเข้าไทยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม" นายสรวงศ์กล่าว

   คลังชงขยาย'คุณสู้ เราช่วย'

   นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายเวลาโครงการคุณสู้ เราช่วย เพิ่มเติม จากที่จะสิ้นสุด 30 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้ ธปท.กำลังอยู่ระหว่างปรับแก้เงื่อนไขในโครงการ โดย 1.จะขยายคุณสมบัติลูกหนี้ของมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ จากเดิมที่ต้องค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป (ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567) ปรับเป็นลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระ 1 วันขึ้นไป และเคยปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้พี่น้องประชาชนเข้าร่วมมาตรการได้มากยิ่งขึ้น

   โดยมาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ จะช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้าน/Home for Cash ไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท สินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 50,000 บาท และสินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้และลดค่างวดในปีที่ 1 เหลือ 50% ในปีที่ 2 เหลือ 70% ในปีที่ 3 เหลือ 90% และพักภาระดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้นตามเงื่อนไข

   นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า 2.ขยายภาระหนี้ของมาตรการ จ่าย ปิด จบ จากเดิมที่ภาระหนี้เสียไม่เกิน 5,000 บาท ปรับเป็นหนี้เสียแบบไม่มีหลักประกัน ภาระหนี้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี และหนี้เสียแบบมีหลักประกัน ภาระหนี้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี โดยในมาตรการนี้ ลูกหนี้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพียง 10% ของยอดหนี้คงค้างเพื่อปิดหนี้ได้ทันที คาดว่าทั้งหมดนี้จะสามารถเสนอรายละเอียดทั้งหมดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้

   สอท.กังวลจีดีพีโตแค่1.5%

   นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2568 ยังมองไม่เห็นภาพเชิงบวก หรือไม่มีปัจจัยช่วยสนับสนุนให้เดินหน้าต่อไปเลย มีแต่ภาพเชิงลบ โดยขณะนี้มีเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นปัจจัยสร้างความกังวลและส่งผลกระทบเกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยเฉพาะการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2569 ต้องดำเนินการให้ทันใช้ 1 ตุลาคมนี้ เนื่องจากภาวะในปัจจุบัน เราต้องการเม็ดเงินลงทุนและการใช้จ่ายของรัฐบาลมาช่วยไม่ให้เศรษฐกิจย่ำแย่ไปกว่านี้ เพราะเอกชนจะขาดสภาพคล่องจากการชะลอตัวการใช้จ่าย งบประมาณปี 2569 ต้องออกมาให้ทันใช้ตามปกติ เป็นหัวใจหลัก ไม่เช่นนั้นภาพเหมือนปี 2567 ที่งบประมาณออกล่าช้า ทำให้จีดีพีต่ำเตี้ย

   "ตอนนี้การลงทุนของเอกชนยังต่ำ เป็นปัญหาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนมีงานทำ และมีเงินมากขึ้น จะปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ถูกมองว่าทั้งปี 2568 อาจโตเพียง 1.4-1.5%" นายสุรพงษ์กล่าว (อ่านรายละเอียดต่อ น.2)

   เอกชนจี้รัฐกระตุ้นใช้เงิน

   ด้าน นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 รัฐบาลควรต้องเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพราะว่าจริงๆ แล้วเศรษฐกิจในตอนนี้ชะลอตัวไปทั่วโลกจากภาวะเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ทั้งสงครามการค้า และสงครามที่แท้จริงของหลายประเทศ ทำให้โอกาสมีตัวเลขคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในตลาดโลกอาจยากเกินไป เพราะฉะนั้นเราคงต้องอาศัยเศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวช่วยด้วย โดยมีมาตรการต่างๆ มาสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายกันเองในประเทศมากขึ้น ท่องเที่ยวกันเองในประเทศมากขึ้น การใช้บริการอะไรต่างๆ ในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยว อย่างที่จะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวออกมา รัฐบาลควรเร่งออกมาให้เร็วขึ้น

   ขึ้นค่าแรงแบกต้นทุนอ่วม

   นายวิศิษฐ์กล่าวว่า สำหรับการปรับขึ้นค่าแรง ในส่วนภาคการส่งออก จากการสอบถามสมาชิกในหอการค้า พบว่า ทุกคนกังวลหมด มองเป็นช่วงจังหวะช่วงเวลาเศรษฐกิจขาลง โอกาสทำกำไรมาชดเชยอยู่ในระดับยากเกินไป ทุกครั้งปรับขึ้นค่าแรง จะมีเรื่องอัพสกิลรีสกิล ช่วยทำให้ผลผลิตหรือการผลิต เพื่อให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาชดเชย แต่ในภาวะแบบนี้น่าจะยาก ซึ่งเอกชนมองว่าไม่ควรปรับขึ้นตอนนี้ พร้อมกับพยายามช่วยกันลดต้นทุนทุกด้านแทน เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งต้องล้มไป

   "ค่าแรง มีบางกลุ่มโดยเฉพาะรายใหญ่ เตรียมการมาดี ทำให้มีผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากปรับเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับพนักงานรองรับไว้ และลงทุนใช้ระบบอัตโนมัติมาช่วยก่อนหน้านี้แล้ว จึงมีบางส่วนปรับตัวได้ แต่พอเจอสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแรง ต่อเนื่อง มีหลายที่ไปต่อไม่ได้ โดยเฉพาะ เอสเอ็มอี แม้พยายามปรับตัวรับมือกับต้นทุนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ รายที่ยังไปต่อได้ ถือว่ามีความเข้มแข็ง มีการปรับตัวและมีความสามารถมากพอตัวเลย" นายวิศิษฐ์กล่าว

   จับตา3เดือนเสถียรภาพรบ.

   นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า อีก 6 เดือนนับจากนี้มองว่าเศรษฐกิจไทยคงยากที่จะฟื้นตัว และต้องทำใจยอมรับ เนื่องยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองที่รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ หลังจากพรรคภูมิใจไทยได้ถอนตัว และต้องมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่

   "หลังจัดตั้ง ครม.ใหม่ในช่วง 2-3 เดือนนี้ เป็นช่วงชี้วัดเสถียรภาพของรัฐบาล แม้จะมีเสียงค่อนข้างน้อย แต่ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายความมั่นคง ทำให้นโยบายมีความต่อเนื่อง เร่งเรื่องที่ยังคาราคาซัง ไม่ว่าการอนุมัติงบประมาณปี 2569 โครงการกระตุ้นต่างๆ การเจรจาภาษีทรัมป์ น่าจะทำให้ประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้" นายอิสระกล่าว

   นายอิสระกล่าวว่า ส่วนปมขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา คงยังไม่จบง่ายๆ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้และเห็นถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของสองประเทศจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ ครม.ใหม่ต้องระมัดระวังคือสงครามต่างๆ ที่กำลังลุกลามทั้งสงครามตะวันออกกลาง สงครามรัสเซียกับยูเครน สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

   กำลังซื้อดิ่ง-อสังหาฯซึมยาว

   นายอิสระกล่าวว่า สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในสถานการณ์ยังไม่ฟื้นตัว จากแรงกดดันภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในตลาดที่หดตัว ผลพวงจากหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ผู้ประกอบการมีการชะลอเปิดโครงการใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อตลาด เพราะไม่มีการเพิ่มซัพพลายใหม่เข้าไปในตลาดที่ยังมีสต๊อกเหลืออยู่มาก ซึ่งตลาดอสังหาฯจะดีก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจดี

   "ที่ผ่านมาภาครัฐมีมาตรการออกมาช่วยกระตุ้น ทั้งลดค่าโอนและจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท ปลดล็อกมาตรการ LTV กู้ได้ 100% แต่ถือว่ายังช่วยได้ไม่มาก อยากให้แบงก์โดยเฉพาะแบงก์ ธอส.ขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง" นายอิสระกล่าว

   ลุ้นคลังสั่งธอส.ปล่อยกู้ดอกถูก

   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 23 มิถุนายน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะประชุมมอบนโยบายการดำเนินงานติดตามมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมพบปะลูกค้ายื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามมาตรการรัฐ

   โดยคาดว่าจะมีการมอบนโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากที่ผ่านมาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประสบกับปัญหาลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือรีเจกต์เรตสูงถึง 40-50% ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่าในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 ภาพรวมยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศติดลบ โดยจำนวนหน่วยโอนติดลบ 12.15% และมูลค่าการโอนติดลบ 15%

   นักวิชาการจี้รัฐเร่งเบิกจ่ายงบ

   นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในขณะนี้หากมองไปถึงสิ้นปี 2568 ยังไม่เห็นภาพหรือสัญญาณเชิงบวกเลย สะท้อนจากจีดีพีไทยที่ศูนย์พยากรณ์ฯประเมินจีดีพีไว้โตแค่ 1.5-2% แต่เนื่องจากมีปัจจัยการเมืองไทยที่ไม่นิ่งและร้อนแรงมากกว่าเดิม จึงยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพที่แข็งแกร่งมากขึ้นได้อย่างไร รวมถึงยังไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเลือกการยุบสภาหรือไม่ แม้ยุบสภาอาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็วแต่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุน ทั้งนี้ ปัจจัยบวกขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆ รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการพิจารณางบประมาณแผ่นดินประจำปี 2569 ออกมาให้ได้ อย่าให้เหมือนปี 2567 รวมถึงเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี รวมถึงเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท พร้อมกับรัฐบาลต้องขอร้องสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี อาจช่วยบรรเทาสถานการณ์ไม่ล้มลงไปก่อน (อ่านรายละเอียดต่อ น.2)

   เอกชนยันมีสต๊อกมันพอควร

   นางอารดา เฟ่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีไทยเข้มงวดและควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลังจากกัมพูชาว่า กรมได้มีการหารือและสอบถามสถานการณ์การค้าและส่งออกมันสำปะหลังของไทยในขณะนี้ กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมทั้ง 4 สมาคมมันสำปะหลัง ได้แก่ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย ซึ่งภาคเอกชนยืนยันมีสต๊อกเพียงพอต่อการค้าปกติทั้งในประเทศและส่งออก ประกอบกับเป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวปริมาณมันสำปะหลังของไทย จึงยังไม่มีผลกระทบต่อการค้ามันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการนำเข้าที่ไม่ถูกช่องทางด้วย พร้อมกับจะหารือภาคเอกชนทำแผนรองรับในระยะกลางและยาวต่อไป เช่น ขยายพันธุ์มันที่ให้เชื้อแป้งสูงขึ้น เป็นต้น

   ไทยนำเข้าลาวสูงกว่าเขมร

   นางอารดากล่าวว่า ประเทศติดชายแดนไทยนำเข้ามันสำปะหลังจาก 3 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา และเมียนมา โดยนำเข้ามากสุดจากลาว ซึ่งนำเข้าต่อปีปริมาณกว่า 2.5-3.0 ล้านตัน โดย 5 เดือนแรกปีนี้ ไทยนำเข้ารวม 2.43 ล้านตัน (ทั้งมันเส้นและหัวมันสด) เพิ่มขึ้น 19% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน รองมาคือกัมพูชา นำเข้าปีละ 1-2 ล้านตัน โดย 5 เดือนแรกปีนี้นำเข้ารวม 1.31 ล้านตัน (ทั้งมันเส้นและหัวมันสด) ลดลง 2.24% และมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท เพิ่มถึง 24% ที่เหลือนำเข้าจากเมียนมา และประเทศ อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปี 2567 ไทยนำเข้ามันสำปะหลังและแปรรูปรวม 4.5 ล้านตัน ซึ่งหากเทียบกับความต้องการใช้ในประเทศ 42 ล้านตัน แต่ไทยผลิตได้ประมาณ 30 ล้านตัน ทำให้ส่วนหนึ่งต้องนำเข้า

   ยันตุนเพื่อขายยาวถึงต.ค.

   "จากการหารือกับภาคเอกชนและผู้ส่งออก ยืนยันมีสต๊อกพอควร ที่ปกติช่วงนี้เป็นปลายฤดูเก็บเกี่ยวก็มีการซื้อเป็นสต๊อกไว้แล้ว และรองรับได้ถึงเดือนตุลาคมของปี ซึ่งตรงกับผลผลิตฤดูการผลิตมันสำปะหลังในประเทศเราออกสู่ตลาดพอดี และผลผลิตส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวข้ามปีถึงไตรมาสแรกปีถัดไป หากดูแล้วเอกชนไทยเตรียมพร้อม หากดูนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านพบว่าปีนี้นำเข้ามามาก เพราะเชื้อแป้งในประเทศน้อย จึงมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาก พบว่า ทั้งจากลาวและกัมพูชา เพียง 5 เดือนแรกปีนี้ ปริมาณนำเข้าเกือบเท่าปีก่อน จากเหตุการณ์ปิดด่านกัมพูชา ก็สามารถหันไปนำเข้าจากลาวและเมียนมาแทนได้" นางอารดากล่าว

   นางอารดากล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรมเฝ้าระวังต่อเนื่องและจะหารือกับภาคเอกชนทุกสัปดาห์อยู่แล้ว รวมถึงติดตามในสินค้าอุปโภคบริโภคและการค้าชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างใกล้ชิด และพร้อมรับนโยบายจากภาครัฐ ทั้งนี้ สถานการณ์ปิดด่านต้องติดตามข้อมูล 1 เดือน ก่อนจะเห็นความชัดเจนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การปรับแนวทางด้านต่างๆ

   กสิกรชี้บาทแข็ง-หุ้นแกว่งต่อ

   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานถึงค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ระหว่าง 23-27 มิถุนายน 2568 ว่าธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทช่วง 32.40-33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากปิดตลาดวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน อยู่ที่ 32.75 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง.ในวันที่ 25 มิถุนายน ปัจจัยการเมืองในประเทศ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณการเจรจาการค้าของสหรัฐและคู่ค้า และสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพฤษภาคมตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2568 อย่างเป็นทางการ

   สำหรับตลาดหุ้นไทย ช่วง 23-27 มิถุนายน บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับ 1,050 และ 1,020 จุด แนวต้าน 1,080 และ 1,100 จุด ตามลำดับ จากวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน ดัชนี SET ปิดที่ 1,067.63 จุด ลดลง 4.91% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุม กนง. นโยบายภาษีสหรัฐ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงปัจจัยต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ในภาคการผลิตและการบริการ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2568 ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนมิถุนายนของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ตลอดจนกำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมของจีน