'คลัง' เร่งอัดเงิน! ธอส.ปล่อยกู้ครึ่งปีหลังจัดเต็ม 1.5 แสนล้าน หนุนอสังหาฯ-จ้างงาน-ศก.ฟื้น
Loading

'คลัง' เร่งอัดเงิน! ธอส.ปล่อยกู้ครึ่งปีหลังจัดเต็ม 1.5 แสนล้าน หนุนอสังหาฯ-จ้างงาน-ศก.ฟื้น

วันที่ : 26 มิถุนายน 2568
คลัง มอบนโยบาย ธอส. ปล่อยสินเชื่อใหม่ ครึ่งปีหลังอัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 1.5 แสนล้านบาท กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ หนุนการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตเพิ่มขึ้น
    นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบนโยบาย ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาค อสังหาริมทรัพย์ เร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ครึ่งหลัง ของปี 2568 อัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ อีกกว่า 150,000 ล้านบาท กระตุ้นภาคอสังหา ริมทรัพย์เติบโต ส่งอานิสงส์บวกต่อการจ้างงาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมเดิน หน้ารักษาบ้านให้คนไทย จัดทำมาตรการ ช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาด้านรายได้ต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จรักษาบ้านให้ คนไทยแล้วกว่า 373,000 บัญชี

    นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐ มนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วย แก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชน ธอส. จึงได้จัด 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (1) สินเชื่อบ้าน Premier Home สำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยวงเงินให้กู้ตั้งแต่ 7 ล้านบาท ขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นเพียง 1.79% ต่อปี (2) สินเชื่อซ่อม - แต่ง และสินเชื่อซ่อม - แต่ง Plus สำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี ผ่าน "สินเชื่อซ่อม - แต่ง" และอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี ในวงเงิน 200,000 บาทถัดมา ผ่าน "สินเชื่อซ่อม - แต่ง Plus" (3) สินเชื่อ Pre Finance Premium สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนด ในพื้นที่ทำเลที่มีศักยภาพ 27 จังหวัด อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.90% ต่อปี และ (4) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผล กระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี โดยอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก เพียง 0% ต่อปี ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4,000 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือกว่า 5,000 ล้านบาท

    โดยจากการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ได้มีส่วนช่วยเหลือและทำให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้กว่า 100,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงเดินหน้าเป็นกลไกหลักของภาครัฐในการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อีกกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่ออัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ทั้งปีสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมาย 241,780 ล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ส่งอานิสงส์บวกต่อการจ้างงาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้ขยายตัวได้ดีขึ้น และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้ต่อไป

    นอกจากมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจผ่านการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้ว ธนาคารยังได้ช่วยเหลือลูกค้าตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนิน "โครงการคุณสู้ เราช่วย" ปัจจุบันมีลูกค้า ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 80,939 บัญชี อย่างไร ก็ตามสำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ธอส. ก็ได้มีมาตรการในการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) และลูกค้าสถานะ NPL ที่ได้รับผล กระทบด้านรายได้มาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 373,000 บัญชี แบ่งเป็น ปี 2567 มีลูกค้าที่ได้รับการแก้ไขหนี้ และกลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 238,000 บัญชี ผ่านมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 2567 (HD1 - HD3) และมาตรการ ในการช่วยลูกค้าลดเงินงวดผ่อนชำระ พักชำระดอกเบี้ยนานสูงสุด 1 ปี โดยในช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2568 ธอส. ช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มดังกล่าวให้กลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 135,000 บัญชี จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ทางเศรษฐกิจ (DC 1 - DC2)

    สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายทำกำไรสูงสุด แต่มุ่งเน้นดำเนินการตามพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" ตามกรอบการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง โดยที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น พร้อมทั้งจัดทำมาตรการขยายระยะเวลากู้ออกไปสูงสุดถึง 80 ปี หรือ 85 ปี จากเดิมอายุผู้กู้รวมกับระยะเวลากู้ต้องไม่เกิน 70 ปี หรือ 75 ปี ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับลูกค้าได้

    นอกจากนี้ ธอส. ยังเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง รวมถึงลูกค้ากลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้า ที่ยังขาดเอกสารหลักฐานหรือที่มาของรายได้เข้า ร่วมโครงการบ้าน ธอส. โรงเรียนการเงิน เพื่อ ออมเงินอย่างสม่ำเสมอผ่าน Application: GHB ALL GEN เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ทุก บัญชีรวมกัน) มาเป็นหลักฐานในการใช้ยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าสนใจลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีเงินออม กว่า 220,000 ราย และได้รับสินเชื่อแล้วมาก กว่า 50,000 ราย และปีนี้ ธอส. ตั้งเป้าดึงลูกค้าเปิด บัญชีออมเงินเพื่อบ้านในอนาคตกว่า 10,000 ราย

    "การดำเนินงานของ ธอส. นอกจากเป็นการสานต่อนโยบายในการเติมเม็ดเงิน ลงสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายและการแก้ไขหนี้ให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการดำเนินการเพื่อตอกย้ำการเป็น ผู้นำการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย Market share อันดับ 1 ของประเทศ และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ในการก้าวสู่การเป็น Sustainable Bank ในอนาคต ที่จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเติบโตไปด้วยกัน อย่างยั่งยืนต่อไป" นายกมลภพ กล่าว