ตลาดก่อสร้างไทยยังไปได้
วันที่ : 13 สิงหาคม 2568
จระเข้ คอร์ปอเรชั่น ฉายภาพของอุตสาหกรรมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกพบว่าการก่อสร้างมาจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐมากกว่า 50% ส่วนภาคเอกชนราว 40% ต้นๆ โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3-5% ในปีนี้
จระเข้ คอร์ปอเรชั่น กางโรดแมปสู้ศึกเศรษฐกิจ
ตลาดก่อสร้างไทยในปี 2568 แสดงสัญญาณทรงตัวถึงติดลบเล็กน้อยตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยมูลค่าตลาดก่อสร้างรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดมาจากโครงการก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว ขณะที่ตลาดวัสดุเคมีก่อสร้าง เช่น กาวซีล แลนท์ และกันซึม เติบโตมากกว่า 5.5% ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5% (CAGR) ไปจนถึงปี 2573
แม้จะส่งสัญญาณทรงตัวถึงติดลบ แต่สำหรับบริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มั่นใจว่าตลาดก่อสร้างไทยยังไปได้ ล่าสุดออกมาเผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของ ปี 2568 สร้างการเติบโตแข็งแกร่งที่ 9.5% พร้อมกาง โรดแมปสู้ศึกเศรษฐกิจไทยที่ท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งมาร์เกตแชร์ของตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนว อีกทั้งยังเตรียมลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ โดยตั้งเป้ายอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 16% ภายใน 3 ปี
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ฉายภาพของอุตสาหกรรมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกพบว่าการก่อสร้างมาจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐมากกว่า 50% ส่วนภาคเอกชนราว 40% ต้นๆ โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3-5% ในปีนี้ จากการลงทุนก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ทั้งโครงการเดิมและใหม่ เช่น โปรเจกต์ท่าเรือ ทางด่วน รถไฟความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานในแถบอีอีซี
ส่วนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว -4 ถึง -5.6% มีเพียงงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมทางโซนภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตที่ยังคงเติบโตสูง นอกจากนี้ ตลาดวัสดุก่อสร้างยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดความต้องการซ่อมแซมเร่งด่วน โดยพบว่าผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและความสามารถในการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าประเด็นเรื่องความยั่งยืนยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้วัสดุ โดยคาดว่าวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเติบโต 5-6% ในช่วงปี 2568-2572 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของ ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนส่งผลเชิง บวกต่อจระเข้ คอร์ปอเรชั่น โดยตรง เพราะมีผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่ได้มาตรฐานครอบคลุมตั้งแต่งานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งตั้งแต่รากฐานถึงหลังคา ที่สำคัญจระเข้ยังมีสัดส่วนของ Green Products ในพอร์ตฯ มากกว่า 63% อีกด้วย
"สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สัดส่วนภาครัฐยังเติบโตอยู่ ในขณะที่ภาคเอกชนติดลบเล็กน้อย ถ้านำภาพมารวมกันทั้งปีตลาดก็จะอยู่ในภาวะทรงๆ แต่ท่ามกลางการเติบโตอย่างช้าๆ นั้น เรามองเห็นทิศทางความต้องการในวัสดุคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เจ้าของบ้านและทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการซ่อมแซมที่คงทนและปลอดภัยในระยะยาว ด้วยความที่จระเข้มีสินค้าครบทั้งซ่อมแซมจนถึงสร้าง แม้ว่าตัวที่สร้างไม่มี แต่เราก็ยังเติบโตในส่วนของงานซ่อมแซมปรับปรุงอยู่ เพราะฉะนั้นภาพรวมจระเข้ยังเติบโตอยู่ โดยยังครองความเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มนวัตกรรมกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่มีมูลค่าตลาด 5,500 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้างเติบโตโดดเด่นที่ 24% โดยเราตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มนี้ไว้ที่ 900 ล้านบาท" ดร.จิรัฏฐ์ กล่าว
สำหรับในปี 2568 จระเข้จะดำเนินแผนขยายธุรกิจระยะยาวในตลาดต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและเสริมช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมเตรียมออกสินค้าใหม่ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรออยู่ในแผนอีกหลายรายการ
ปัจจุบันจระเข้ส่งสินค้าไปขายใน 17 ประเทศ โดยมีประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เป็นตลาดหลัก ซึ่งพบว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่ม CLMV ยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ แม้จะเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบน้ำและไฟฟ้า ที่ช่วยดันความต้องการวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เวียดนามโดดเด่นด้วยแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติมายังเวียดนาม พร้อมด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่เมียนมาเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความต้องการวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปูนซีเมนต์และเหล็ก ส่วนกัมพูชาก็มีการเติบโตที่ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาส่งผลกระทบต่อจระเข้เช่นกันแม้ว่าในระยะสั้นตลาดทางเวียดนามจะโตดีเกินคาดและสามารถทดแทนตลาดกัมพูชาได้ก็ตาม แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อทางจระเข้เผยว่าต้องหาโอกาสจากตลาดอื่นเพื่อมาทดแทนตลาดกัมพูชา
"ครึ่งปีแรกกัมพูชาเราเติบโตดี ตอนนี้พอเกิดเหตุการณ์ต้องเรียนตามตรงว่าเกิดผลกระทบกับช่องทางด่านต่างๆ แต่ระหว่างประชาชนและคู่ค้าดีมานด์ยังมีอยู่ คู่ค้าของเราที่อยู่ในกัมพูชาก็พยายามหาช่องทางในการนำเข้าไปที่ถูกต้อง ครึ่งปีหลังถ้าเหตุการณ์ยังยืดเยื้อก็อาจมีผลกระทบบ้าง แต่เราก็เติบโตในประเทศอื่นที่โตเกินเป้าที่วางไว้ มีการส่งออกไปยังมัลดีฟส์ แอฟริกา เอเชียใต้ และยังเห็นช่องทางใหม่ๆ ในประเทศใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ในเวียดนามนี่เติบโตดีเกินคาดมาก ปีหนึ่งโต 30-40% ตอนนี้จระเข้มีพาร์ตเนอร์อยู่ที่เวียดนาม ถ้าเกิดตัวเลขในเวียดนามมันเติบโตขึ้นมาในระดับหนึ่ง เราอาจจะไปตั้งฐานการผลิตในนั้นก็ได้ ซึ่งเป็นอีกตลาดที่จระเข้มุ่งหวังไว้เยอะ"
แผนต่อจากนี้จระเข้จะเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากในประเทศ 90% แบ่งเป็นช่องทาง Traditional Trade 62% และ Modern Trade 38% ซึ่งจระเข้มีเป้าหมายในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ค้า "จระเข้ช็อป" (JORAKAY SHOP) ที่เป็นส่วนสำคัญในการ ผลักดันผลิตภัณฑ์ "จระเข้" ไปยังผู้ใช้งาน ทั้งช่างก่อสร้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาเฉพาะทาง (Applicator) และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดครบวงจรอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ต่างประเทศมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 10% โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 16% ภายใน 3 ปี ผ่านการขยายสินค้าในตลาดเดิมและการเจาะตลาดใหม่ กลยุทธ์หลักคือการเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรท้องถิ่นและการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งช่องทางค้าปลีก
ทั้งนี้ จระเข้เชื่อมั่นว่า การขยายสู่ตลาดต่างประเทศจะเป็นการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจที่จะช่วยให้จระเข้เติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต .
ตลาดก่อสร้างไทยในปี 2568 แสดงสัญญาณทรงตัวถึงติดลบเล็กน้อยตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยมูลค่าตลาดก่อสร้างรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดมาจากโครงการก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว ขณะที่ตลาดวัสดุเคมีก่อสร้าง เช่น กาวซีล แลนท์ และกันซึม เติบโตมากกว่า 5.5% ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5% (CAGR) ไปจนถึงปี 2573
แม้จะส่งสัญญาณทรงตัวถึงติดลบ แต่สำหรับบริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มั่นใจว่าตลาดก่อสร้างไทยยังไปได้ ล่าสุดออกมาเผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของ ปี 2568 สร้างการเติบโตแข็งแกร่งที่ 9.5% พร้อมกาง โรดแมปสู้ศึกเศรษฐกิจไทยที่ท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งมาร์เกตแชร์ของตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนว อีกทั้งยังเตรียมลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ โดยตั้งเป้ายอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 16% ภายใน 3 ปี
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ฉายภาพของอุตสาหกรรมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกพบว่าการก่อสร้างมาจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐมากกว่า 50% ส่วนภาคเอกชนราว 40% ต้นๆ โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3-5% ในปีนี้ จากการลงทุนก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ทั้งโครงการเดิมและใหม่ เช่น โปรเจกต์ท่าเรือ ทางด่วน รถไฟความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานในแถบอีอีซี
ส่วนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว -4 ถึง -5.6% มีเพียงงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมทางโซนภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตที่ยังคงเติบโตสูง นอกจากนี้ ตลาดวัสดุก่อสร้างยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดความต้องการซ่อมแซมเร่งด่วน โดยพบว่าผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและความสามารถในการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าประเด็นเรื่องความยั่งยืนยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้วัสดุ โดยคาดว่าวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเติบโต 5-6% ในช่วงปี 2568-2572 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของ ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนส่งผลเชิง บวกต่อจระเข้ คอร์ปอเรชั่น โดยตรง เพราะมีผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่ได้มาตรฐานครอบคลุมตั้งแต่งานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งตั้งแต่รากฐานถึงหลังคา ที่สำคัญจระเข้ยังมีสัดส่วนของ Green Products ในพอร์ตฯ มากกว่า 63% อีกด้วย
"สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สัดส่วนภาครัฐยังเติบโตอยู่ ในขณะที่ภาคเอกชนติดลบเล็กน้อย ถ้านำภาพมารวมกันทั้งปีตลาดก็จะอยู่ในภาวะทรงๆ แต่ท่ามกลางการเติบโตอย่างช้าๆ นั้น เรามองเห็นทิศทางความต้องการในวัสดุคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เจ้าของบ้านและทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการซ่อมแซมที่คงทนและปลอดภัยในระยะยาว ด้วยความที่จระเข้มีสินค้าครบทั้งซ่อมแซมจนถึงสร้าง แม้ว่าตัวที่สร้างไม่มี แต่เราก็ยังเติบโตในส่วนของงานซ่อมแซมปรับปรุงอยู่ เพราะฉะนั้นภาพรวมจระเข้ยังเติบโตอยู่ โดยยังครองความเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มนวัตกรรมกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่มีมูลค่าตลาด 5,500 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้างเติบโตโดดเด่นที่ 24% โดยเราตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มนี้ไว้ที่ 900 ล้านบาท" ดร.จิรัฏฐ์ กล่าว
สำหรับในปี 2568 จระเข้จะดำเนินแผนขยายธุรกิจระยะยาวในตลาดต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและเสริมช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมเตรียมออกสินค้าใหม่ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรออยู่ในแผนอีกหลายรายการ
ปัจจุบันจระเข้ส่งสินค้าไปขายใน 17 ประเทศ โดยมีประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เป็นตลาดหลัก ซึ่งพบว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่ม CLMV ยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ แม้จะเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบน้ำและไฟฟ้า ที่ช่วยดันความต้องการวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เวียดนามโดดเด่นด้วยแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติมายังเวียดนาม พร้อมด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่เมียนมาเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความต้องการวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปูนซีเมนต์และเหล็ก ส่วนกัมพูชาก็มีการเติบโตที่ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาส่งผลกระทบต่อจระเข้เช่นกันแม้ว่าในระยะสั้นตลาดทางเวียดนามจะโตดีเกินคาดและสามารถทดแทนตลาดกัมพูชาได้ก็ตาม แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อทางจระเข้เผยว่าต้องหาโอกาสจากตลาดอื่นเพื่อมาทดแทนตลาดกัมพูชา
"ครึ่งปีแรกกัมพูชาเราเติบโตดี ตอนนี้พอเกิดเหตุการณ์ต้องเรียนตามตรงว่าเกิดผลกระทบกับช่องทางด่านต่างๆ แต่ระหว่างประชาชนและคู่ค้าดีมานด์ยังมีอยู่ คู่ค้าของเราที่อยู่ในกัมพูชาก็พยายามหาช่องทางในการนำเข้าไปที่ถูกต้อง ครึ่งปีหลังถ้าเหตุการณ์ยังยืดเยื้อก็อาจมีผลกระทบบ้าง แต่เราก็เติบโตในประเทศอื่นที่โตเกินเป้าที่วางไว้ มีการส่งออกไปยังมัลดีฟส์ แอฟริกา เอเชียใต้ และยังเห็นช่องทางใหม่ๆ ในประเทศใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ในเวียดนามนี่เติบโตดีเกินคาดมาก ปีหนึ่งโต 30-40% ตอนนี้จระเข้มีพาร์ตเนอร์อยู่ที่เวียดนาม ถ้าเกิดตัวเลขในเวียดนามมันเติบโตขึ้นมาในระดับหนึ่ง เราอาจจะไปตั้งฐานการผลิตในนั้นก็ได้ ซึ่งเป็นอีกตลาดที่จระเข้มุ่งหวังไว้เยอะ"
แผนต่อจากนี้จระเข้จะเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากในประเทศ 90% แบ่งเป็นช่องทาง Traditional Trade 62% และ Modern Trade 38% ซึ่งจระเข้มีเป้าหมายในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ค้า "จระเข้ช็อป" (JORAKAY SHOP) ที่เป็นส่วนสำคัญในการ ผลักดันผลิตภัณฑ์ "จระเข้" ไปยังผู้ใช้งาน ทั้งช่างก่อสร้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาเฉพาะทาง (Applicator) และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดครบวงจรอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ต่างประเทศมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 10% โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 16% ภายใน 3 ปี ผ่านการขยายสินค้าในตลาดเดิมและการเจาะตลาดใหม่ กลยุทธ์หลักคือการเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรท้องถิ่นและการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งช่องทางค้าปลีก
ทั้งนี้ จระเข้เชื่อมั่นว่า การขยายสู่ตลาดต่างประเทศจะเป็นการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจที่จะช่วยให้จระเข้เติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต .
ข่าววัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์ อื่นๆ