แบงก์แห่ชิงลดดอกกู้ทันที สิ้น ส.ค.นี้ ดัชนี 1,300 จุด แน่
Loading

แบงก์แห่ชิงลดดอกกู้ทันที สิ้น ส.ค.นี้ ดัชนี 1,300 จุด แน่

วันที่ : 15 สิงหาคม 2568
แบงก์พาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง SCB BBL KBANK KTB BAY TTB ชิงลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง 0.25% ต่อปี มีผลทันที หลัง กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% โบรกฯ ชี้เพื่อลดภาระหนี้เงินกู้กลุ่มลูกค้า และรักษาระดับเอ็นพีแอล ส่วนดัชนีหุ้นไทยเดือน ส.ค.นี้ มีลุ้นแกว่งในกรอบ 1,295-1,330 จุด แนะกลุ่มหุ้นรับดอกเบี้ยขาลง MTC KTC GULF ADVANC AP
   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% เมื่อวันพุธที่ 13 ส.ค. 2568 นั้น

   ล่าสุด นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เผยว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือน ด้วยภาวะการเงินที่ตึงตัวสูง ธนาคารฯ จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.25% เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป

   สำหรับรายละเอียด คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) จากปัจจุบัน 6.750% เป็น 6.500% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปัจจุบัน 6.925% เป็น 6.675% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปัจจุบัน 7.025% เป็น 6.775% ต่อปีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องมาตลอด

   นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTBกล่าวว่าได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เพื่อช่วยลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัว ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข ลดภาระทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SMEประคองธุรกิจ และลูกค้า ประชาชนให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

   อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 6.620% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 6.500% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 7.045% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 เป็นต้นไปขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่เปลี่ยนแปลง

   นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลง โดยมีรายละเอียดดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลด 0.25% จาก 6.97% เหลือ 6.72% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.25% จาก 6.94% เหลือ 6.69% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลด 0.25% จาก 7.03% เหลือ 6.78% ต่อปี

   ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เป็นธนาคารแรกในการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ M Rate ทั้ง MLR MOR MRR ลดลง 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เป็น 6.50% ต่อปี MOR หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เป็น 6.75% ต่อปี และ MRR หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เป็น 6.65% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป

   เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจาก 7.000% เป็น 6.750% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงจาก 6.975% เป็น 6.725%อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจาก 7.120% เป็น 6.870% อัตราดอกเบี้ยใหม่ดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป

   และธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป

   นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSSกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แบบแทบจะทันทีหลังจาก กนง.ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% นั้น อาจจะมาจากความพยายามในการที่จะรักษากลุ่มลูกหนี้ เพื่อให้มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ต่อไป ส่วนแบงก์เองยังรักษาสถานะของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ไว้ได้ด้วย

   ด้าน นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนักกลยุทธ์การลงทุน KSS กล่าวเช่นกันว่า การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อการประเมินมูลค่าของตลาดหุ้น ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทุก ๆ 0.25% จะส่งผลบวกต่อเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยประมาณ 55 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยเดือน ส.ค. 2568 นี้ น่าจะเข้ากรอบ 1,295-1,330 จุดส่วนเป้าหมายปลายปีคาดที่ 1,370 จุด

   สำหรับภาวะดอกเบี้ยขาลงส่งผลดีต่อบางกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้ กลุ่มการเงิน เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงและรวดเร็วที่สุดจาก ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ซึ่งช่วยขยายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิ หุ้นเด่น แนะนำบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ MTC และบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTC ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวเด่นของกลุ่ม โดย MTC มีความโดดเด่นในกลุ่มจำนำทะเบียนด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ส่วน KTC มีจุดแข็งด้านงบดุลที่แข็งแกร่ง กำไรเติบโตดี และมีอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจถึง 5%

   กลุ่มที่มีหนี้สินสูง เนื่องจากบริษัทที่มีภาระหนี้สินสูง โดยเฉพาะหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ จะได้รับประโยชน์จาก ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นเด่นบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GULF

   โดย CPALL ยังได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ขณะที่ GULF นอกจากจะได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยแล้ว ยังได้ปัจจัยบวกจากเงินบาทที่แข็งค่าและเงินปันผลจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC ที่ดีกว่าคาด

   กลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยเมื่อผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินฝากธนาคารลดลง จะเกิดปรากฏการณ์ Search for Yield ซึ่งนักลงทุนจะโยกย้ายเงินทุนมายังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้หุ้นปันผลสูงมีความน่าดึงดูดใจเพิ่มขึ้น หุ้นเด่น ADVANC เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหุ้นในกลุ่มนี้

   และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกองทุน REITs ซึ่งดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยาต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากทำให้ภาระการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง สำหรับกองทุน REITs และ Property Fund จะน่าสนใจมากขึ้นจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง และข้อมูลในอดีตชี้ว่าราคามักปรับตัวขึ้นสวนทางกับทิศทางดอกเบี้ย หุ้นเด่นบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)หรือ AP ถูกยกให้เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในกลุ่มนี้

   ในทางกลับกัน มีสองกลุ่มหลักที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในภาวะดอกเบี้ยขาลง กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ (Large Banks) เป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin – NIM) มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของธนาคาร และกลุ่มประกันชีวิต (Life Insurance) เพราะบริษัทประกันชีวิตนำเบี้ยประกันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลง จะทำให้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรมีแนวโน้มที่จะลดน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ