เศรษฐกิจไทย 6 เดือนโต 3% ครึ่งปีหลังเสี่ยง-สศช.จี้ปรับโครงสร้าง
Loading

เศรษฐกิจไทย 6 เดือนโต 3% ครึ่งปีหลังเสี่ยง-สศช.จี้ปรับโครงสร้าง

วันที่ : 20 สิงหาคม 2568
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวได้ 3% โดยไตรมาส 2 ขยายตัวที่ 2.8% ลดลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 3.2% ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการแนวโน้มการขยายตัวของจีดีพีทั้งปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 1.8-2.3% ต่อปี) ดีกว่าประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8% (ช่วง 1.3-2.3%)
   
    นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า จีดีพีไตรมาส 2 ที่ชะลอลงจากไตรมาสแรก เป็นผลมาจากการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการขยายตัวชะลอลง

   โดยการปรับประมาณการจีดีพีทั้งปีว่าจะขยายตัวได้ 2% ชะลอลงจากปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน

   อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว มีแนวโน้มการชะลอตัว

   นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงจากภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคการเกษตร และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก

   "เหตุผลที่มีการปรับประมาณการคือ ขณะนี้มีความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก ทำให้ต้องประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง"

   นายดนุชากล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มีหลายประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

   1.การลงทุนของภาครัฐและเอกชน ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัว ควบคู่กับการปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก การเตรียมความพร้อมด้าน Transshipment อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิสินค้า

   2.เกณฑ์การคำนวณมูลค่าการผลิตในประเทศ (RVC) เป็นอีกประเด็นสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์และสภาอุตสาหกรรมฯ กำลังเร่งหารือ เพื่อกำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้าไทย และรักษาความสามารถในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอย่างต่อเนื่อง

  3.ภาระหนี้ภาคเอกชนยังสูง โดย SMEs มีคุณภาพสินเชื่อลดลง และจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า ต้นทุนสูงขึ้น และการแข่งขันจากสินค้านำเข้า

  4.การท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ แม้จะมีการปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคนในปีนี้ หลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลง 12% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟ้นตัวตามคาด ทำให้ต้องปรับเป้าลงจาก 6 ล้านคน เหลือ 4 ล้านคน อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายมีแนวโน้มดีขึ้น

   เลขาธิการ สศช.กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย

   1.ลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐและประเทศคู่ค้าสำคัญ ด้วยการขยายตลาดใหม่ พร้อมการยกระดับการตรวจสอบกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ป้องกันการสวมสิทธิทางการค้า ลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติม เฝ้าระวังการทุ่มตลาดและนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

   2.ขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยการเร่งรัดให้นักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2566-2568 ลงทุนจริงโดยเร็ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และชิ้นส่วน

  3.ฟื้นฟูการท่องเที่ยวและบริการ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเน้นความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงพัฒนาปัจจัยแวดล้อม เช่น สนามบิน ระบบตรวจคนเข้าเมือง และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว

  4.สนับสนุนทางการเงินแก่ภาคธุรกิจ ช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องและได้รับผลกระทบ ซ้ำจากมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation Loan) และสินเชื่อเครือข่ายธุรกิจ

  5.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยเบิกจ่ายงบฯลงทุนปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 65% ของกรอบรวม เร่งดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้งบกลางที่อนุมัติแล้ว พร้อมเตรียมความพร้อมโครงการงบฯปี 2569 เพื่อให้มีแรงส่งต่อเนื่อง ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง

  และ 6.ดูแลภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร

   "หากเศรษฐกิจยังเติบโตแค่ 2% ต่อเนื่อง จะไม่เพียงพอต่อการยกระดับ ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้เติบโตได้ถึง 3% ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานที่มีศักยภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อลดต้นทุน และการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ มาตรการภาษีของสหรัฐในครั้งนี้ จึงอาจเป็นโอกาสในการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน"
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ