บ้านมือ2แรงรับกำลังซื้อถอย
วันที่ : 1 กันยายน 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 68 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะกลุ่มบ้านและคอนโดมิเนียมมือสองราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบ้านมือหนึ่ง เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทั้งเรื่องราคาที่ถูกกว่า ทำเลที่ดีกว่า
เอกชนเบรกเปิดโครงการใหม่
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 68 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะกลุ่มบ้านและคอนโดมิเนียมมือสองราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบ้านมือหนึ่ง เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทั้งเรื่องราคาที่ถูกกว่า ทำเลที่ดีกว่า ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังหันมาเลือกซื้อบ้านที่มีขนาดเล็กลง พอดีกับครอบครัว ต่างจากเดิมที่จะซื้อเผื่อมีลูก หรือเผื่อญาติมาเยี่ยมพักอาศัย ทำให้ที่อยู่อาศัยขนาดเล็กมีการเติบโตได้ดีกว่า
"ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไตรมาสสอง พบว่าบ้านใหม่ติดลบค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับบ้านมือสองที่ติดลบน้อยกว่า อาทิ กลุ่มราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 31.3% แต่บ้านมือสองติดลบ 7.4% กลุ่มราคา 1.5-2 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 20% บ้านมือสองลบเพียง 8.3% กลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 19.8% บ้านมือสองลบเพียง 11.7%"
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% และการผ่อนคลายเกณฑ์สินเชื่อแอลทีวี ส่งผลให้กำลังซื้อ และการโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นชัดเจน ทั้งจำนวนหน่วยมี 77,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสแรก มีเป็นมูลค่า 210,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% ทำให้ภาพรวมครึ่งแรกปี 68 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 142,619 หน่วย ลดลง 10.7% มีมูลค่า 391,601 ล้านบาท ลดลง 13.3%
นายกมลภพ กล่าวว่า แนวโน้มอสังหาฯช่วงครึ่งหลังของปี 68 จะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก โดยมาตรการภาษีสหรัฐมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ ลูกจ้าง ทำให้กำลังซื้อลดลง ขณะที่โครงการเปิดขายใหม่มีแนวโน้มลดลงและผู้ซื้อบ้านขาดความสามารถในการกู้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายกลางและเล็กมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องสูงขึ้น อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก็กดดันให้ทั้งปี 68 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะอยู่ที่ 343,678 หน่วย ลดลง 1.2% และมีมูลค่า 964,027 ล้านบาท ลดลง 1.7%
"โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 เพียง 6,165 หน่วยเป็นจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการสำรวจข้อมูลมาปี 65 และลดจากก่อนหน้านี้ 64.6% คาดว่าทั้งปี 68 จะมีการเปิดโครงการใหม่ 52,000 หน่วย ลดลง 17.2% มีมูลค่า 390,000 ล้านบาท ลดลง 22.2% สินเชื่อครึ่งแรกของปี 68 มีการปล่อยใหม่ 243,483 ล้านบาท ลดลง 7.9% คาดทั้งปีที่ 582,800 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน"
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ ไตรมาส 2 ปี 68 มีแนวโน้มลดลง มีจำนวน 3,248 หน่วย ลดลง 2.2% มูลค่า 12,318 ล้านบาท ลดลง 16.9% โดยชาวต่างชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสูงสุด ได้แก่ จีน เมียนมา รัสเซีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี อินเดีย และญี่ปุ่น
"แต่จีนมีแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลง โดยไตรมาสนี้ มีเพียง 899 หน่วย ลดลง 28.8% และมีมูลค่า 3,391 ล้านบาท ลดลง 39.4% สวนทางกับชาวเมียนมามีการโอนห้องชุด 533 หน่วย เพิ่มขึ้น 119.3% มูลค่า 1,347 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ที่อยู่อาศัยในเมียนมาได้รับความเสียหาย"
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 68 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะกลุ่มบ้านและคอนโดมิเนียมมือสองราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบ้านมือหนึ่ง เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทั้งเรื่องราคาที่ถูกกว่า ทำเลที่ดีกว่า ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังหันมาเลือกซื้อบ้านที่มีขนาดเล็กลง พอดีกับครอบครัว ต่างจากเดิมที่จะซื้อเผื่อมีลูก หรือเผื่อญาติมาเยี่ยมพักอาศัย ทำให้ที่อยู่อาศัยขนาดเล็กมีการเติบโตได้ดีกว่า
"ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไตรมาสสอง พบว่าบ้านใหม่ติดลบค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับบ้านมือสองที่ติดลบน้อยกว่า อาทิ กลุ่มราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 31.3% แต่บ้านมือสองติดลบ 7.4% กลุ่มราคา 1.5-2 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 20% บ้านมือสองลบเพียง 8.3% กลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท บ้านใหม่ติดลบ 19.8% บ้านมือสองลบเพียง 11.7%"
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% และการผ่อนคลายเกณฑ์สินเชื่อแอลทีวี ส่งผลให้กำลังซื้อ และการโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นชัดเจน ทั้งจำนวนหน่วยมี 77,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสแรก มีเป็นมูลค่า 210,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% ทำให้ภาพรวมครึ่งแรกปี 68 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 142,619 หน่วย ลดลง 10.7% มีมูลค่า 391,601 ล้านบาท ลดลง 13.3%
นายกมลภพ กล่าวว่า แนวโน้มอสังหาฯช่วงครึ่งหลังของปี 68 จะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก โดยมาตรการภาษีสหรัฐมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ ลูกจ้าง ทำให้กำลังซื้อลดลง ขณะที่โครงการเปิดขายใหม่มีแนวโน้มลดลงและผู้ซื้อบ้านขาดความสามารถในการกู้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายกลางและเล็กมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องสูงขึ้น อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก็กดดันให้ทั้งปี 68 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะอยู่ที่ 343,678 หน่วย ลดลง 1.2% และมีมูลค่า 964,027 ล้านบาท ลดลง 1.7%
"โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 เพียง 6,165 หน่วยเป็นจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการสำรวจข้อมูลมาปี 65 และลดจากก่อนหน้านี้ 64.6% คาดว่าทั้งปี 68 จะมีการเปิดโครงการใหม่ 52,000 หน่วย ลดลง 17.2% มีมูลค่า 390,000 ล้านบาท ลดลง 22.2% สินเชื่อครึ่งแรกของปี 68 มีการปล่อยใหม่ 243,483 ล้านบาท ลดลง 7.9% คาดทั้งปีที่ 582,800 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน"
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ ไตรมาส 2 ปี 68 มีแนวโน้มลดลง มีจำนวน 3,248 หน่วย ลดลง 2.2% มูลค่า 12,318 ล้านบาท ลดลง 16.9% โดยชาวต่างชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสูงสุด ได้แก่ จีน เมียนมา รัสเซีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี อินเดีย และญี่ปุ่น
"แต่จีนมีแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลง โดยไตรมาสนี้ มีเพียง 899 หน่วย ลดลง 28.8% และมีมูลค่า 3,391 ล้านบาท ลดลง 39.4% สวนทางกับชาวเมียนมามีการโอนห้องชุด 533 หน่วย เพิ่มขึ้น 119.3% มูลค่า 1,347 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ที่อยู่อาศัยในเมียนมาได้รับความเสียหาย"
ข่าวบ้านมือสอง อื่นๆ