'คลัง' มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัน 'จีดีพี' ปี 68 ขยายตัวแตะ 2%
วันที่ : 18 พฤศจิกายน 2568
"เอกนิติ" มั่นใจจีดีพีปี 68 โตถึง 2% หลัง "สภาพัฒน์" คาดไตรมาส 4 ขยายตัว 0.6% เผยไตรมาส 3 ติดลบ 0.6% ถือว่าเป็นครั้งแรก ที่ติดลบไตรมาสต่อไตรมาสรอบ 10 ไตรมาส แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเกิดภาวะถดถอย ทางเทคนิค แนะไทยเดินหน้าเจรจาการค้าต่อเนื่อง รักษาบรรยากาศการค้า การลงทุนในปีที่มีการเลือกตั้ง ด้านนักเศรษฐศาสตร์ห่วงเศรษฐกิจไทยโตต่ำถาวร หากไม่เร่งปรับโครงสร้าง
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ สศช. แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2568 ว่าขยายตัว 1.2% ลดลงจาก 2.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับฤดูกาลพบว่าหดตัว 0.6% QoQ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่หดตัวไตรมาสต่อไตรมาส แต่โดยรวม 9 เดือนยังขยายตัวได้ 2.4%
ไตรมาสที่ 3/2568 พบว่าการใช้จ่ายเอกชนเติบโต 2.6% ใช้จ่ายภาครัฐลดลง 3.9% การลงทุนรวมโต 1.1% จากการลงทุนภาครัฐหดตัว 5.3% ขณะที่ภาคส่งออกเริ่มได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ที่บังคับใช้ตั้งเดือน ส.ค. ส่งผลให้ชะลอลงเหลือ 11.5% จาก 15% ในไตรมาสก่อนหน้า
ไตรมาสที่ 3 ยังมีปัจจัยลบทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมมีปัจจัยเฉพาะเรื่องการปิดซ่อมโรงกลั่นทำให้ตัวเลขการผลิตนี้หดตัวลง
หวังกระตุ้นเศรษฐกิจประคองการเติบโต
สศช.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ ไว้ที่ 2% โดยมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนเอกชนจะทำให้ไตรมาสสุดท้ายของยังคงขยายตัว ได้ประมาณ 0.6% ส่วนกระทรวงการคลังประเมินว่าจีดีพีจะโต 1.1% ในไตรมาสสุดท้าย
อย่างไรก็ตามยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่าไทยมีสัญญาณของการถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ต้องดูรวมทั้งด้านการคลัง การเงิน และกิจกรรมเศรษฐกิจจริง
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในกรอบ 1.2-2.2% (ค่ากลาง 1.7%) แต่ยอมรับความเสี่ยงสำคัญ มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐ การชะลอตัวของการค้าโลก ภาระหนี้ภาคเอกชนสูง ความไม่แน่นอนทางการเมืองช่วงก่อน-หลังการเลือกตั้งซึ่งต้องมีการรักษาบรรยากาศให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนมากที่สุด
ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มลดลงภายหลังการขยายตัวในเกณฑ์สูงในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งไทยมีสัดส่วนสินค้าที่ถูกเก็บภาษีเฉพาะเจาะจง ในสัดส่วนที่สูง เช่นรถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน เหล็กและอะลูมิเนียม
ทั้งนี้การส่งออกอาจไม่มีแรงส่งถึงปีหน้า แต่ยังมีตลาดใหม่ที่สามารถขยายได้ เช่น เอเชียใต้ แอฟริกา อินเดีย
ส่วนในด้านนโยบายการคลัง การเร่งจัดทำงบประมาณปี 2569 สำคัญมาก เพราะการล่าช้างบประมาณที่ผ่านมา ทำให้การเบิกจ่ายลงทุนหายไปเกือบทั้งปี
สำหรับประเด็นการบริหารเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปี 2568 และในปี 2569 ที่สภาพัฒน์แนะนำให้รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่
1.การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ไม่ต่ำกว่า 75% เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อนุมัติแล้ว และเร่งจัดทำงบปี 2570
2.ฟื้นการท่องเที่ยว
3.เร่งฟื้นฟูเกษตรกรหลังอุทกภัย เร่งโครงการ บริหารจัดการน้ำตามแผนหลัก
4.ผลักดันการส่งออก ลดต้นทุนผู้ผลิต รับมือกีดกันการค้าสหรัฐ การสร้างความเข้าใจเรื่องกฎถิ่นกำเนิด (C/O และ RVC) ขยายตลาดใหม่ เดินหน้าเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป-เกาหลีใต้ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ บริหารความเสี่ยงค่าเงิน
5.กระตุ้นลงทุนเอกชน และดึง FDI เข้าประเทศ โดยเร่งให้นักลงทุนที่ได้รับส่งเสริมในช่วงปี 2567 -2569 ลงทุนจริง และใช้โอกาสการเบี่ยงเบนการค้า -การลงทุนจากมาตรการสหรัฐ ดึงอุตสาหกรรม มูลค่าเพิ่มสูงเข้าประเทศ 6.ให้ความสำคัญกับการ แก้ปัญหาสินเชื่อ-คลี่คลายลูกหนี้เรื้อรังโดย เดินหน้าลดปัญหา NPL ครัวเรือน ผ่านมาตรการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" และปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก ช่วย SMEs ที่ขาดสภาพคล่องจากผลกระทบกีดกันการค้า ยกระดับฐานข้อมูลหนี้ทั้งในและนอกระบบ เพื่อวิเคราะห์เครดิตและปรับโครงสร้างหนี้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
มั่นใจจีดีพีปีนี้เกิน2%-ห่วงโตต่ำระยะยาว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ายังมั่นใจว่าจีดีพีปี 2568 จะขยายตัวเกิน 2% โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเสาที่หนึ่งทั้งคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเป็นส่วนสำคัญ หลังรัฐบาลออกนโยบาย ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอกชนก็เริ่มฟื้นตัว
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า แม้ภาพเศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจไม่ได้แย่หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ภาพใหญ่ยังน่ากังวล จากศักยภาพการเติบโตระยะยาวที่อาจเหลือเพียง 1-2% เท่านั้น หากไม่ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปฏิรูปด้านเทคโนโลยี ที่ดินแรงงาน ด้านพลังงานต่าง ๆ ดังนั้น หากไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้ระยะยาวเศรษฐกิจไทย การโตจะวนอยู่ในระดับต่ำต่อไป หรืออาจไม่ถึง 1% ในอนาคต
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ที่ออกมา ไม่ต่างกับที่ประเมินไว้ คือ โตต่ำเทียบกับปีก่อน และติดลบเทียบไตรมาสต่อไตรมาสหน้า แต่เชื่อว่าการติดลบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าไม่น่าจะลากยาว และนำไปสู่ภาวะ ถดถอยทางเทคนิค และมองไตรมาส 4 จะเริ่มฟื้นตัวได้ เพราะรัฐบาลเริ่มทำงาน มาตรการต่าง ๆ เริ่ม เดินหน้า และความเชื่อมั่นค่อย ๆ กลับมา สิ่งที่น่าห่วง ที่สุดไม่ใช่การถดถอย แต่คือเศรษฐกิจโตต่ำยาวนาน
"การโตต่ำจะลากยาวไปถึงอย่างน้อยครึ่งแรกของปีหน้า และนี่คือประเด็นใหญ่ที่ทำให้ความน่าสนใจของไทยลดลงในสายตาต่างชาติ เพราะกลายเป็นประเทศที่ขยายตัวต่ำสุดในภูมิภาคอีกครั้ง เพราะปีนี้คาดว่าไทยขยายตัว 2.2% ปีหน้า 1.7%"
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจที่ออกมาในไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยจากเดิมที่คาด 1.6%
สิ่งที่น่าห่วงที่สุด คือ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่แย่กว่าที่คาดมาก แม้ว่าการส่งออกจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ แต่ก็มีสัญญาณค่อนข้างชะลอลง และปีถัดไปน่ากังวลยิ่งกว่าจากผลกระทบนโยบายทรัมป์
ไตรมาสที่ 3/2568 พบว่าการใช้จ่ายเอกชนเติบโต 2.6% ใช้จ่ายภาครัฐลดลง 3.9% การลงทุนรวมโต 1.1% จากการลงทุนภาครัฐหดตัว 5.3% ขณะที่ภาคส่งออกเริ่มได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ที่บังคับใช้ตั้งเดือน ส.ค. ส่งผลให้ชะลอลงเหลือ 11.5% จาก 15% ในไตรมาสก่อนหน้า
ไตรมาสที่ 3 ยังมีปัจจัยลบทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมมีปัจจัยเฉพาะเรื่องการปิดซ่อมโรงกลั่นทำให้ตัวเลขการผลิตนี้หดตัวลง
หวังกระตุ้นเศรษฐกิจประคองการเติบโต
สศช.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ ไว้ที่ 2% โดยมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนเอกชนจะทำให้ไตรมาสสุดท้ายของยังคงขยายตัว ได้ประมาณ 0.6% ส่วนกระทรวงการคลังประเมินว่าจีดีพีจะโต 1.1% ในไตรมาสสุดท้าย
อย่างไรก็ตามยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่าไทยมีสัญญาณของการถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ต้องดูรวมทั้งด้านการคลัง การเงิน และกิจกรรมเศรษฐกิจจริง
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในกรอบ 1.2-2.2% (ค่ากลาง 1.7%) แต่ยอมรับความเสี่ยงสำคัญ มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐ การชะลอตัวของการค้าโลก ภาระหนี้ภาคเอกชนสูง ความไม่แน่นอนทางการเมืองช่วงก่อน-หลังการเลือกตั้งซึ่งต้องมีการรักษาบรรยากาศให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนมากที่สุด
ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มลดลงภายหลังการขยายตัวในเกณฑ์สูงในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งไทยมีสัดส่วนสินค้าที่ถูกเก็บภาษีเฉพาะเจาะจง ในสัดส่วนที่สูง เช่นรถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน เหล็กและอะลูมิเนียม
ทั้งนี้การส่งออกอาจไม่มีแรงส่งถึงปีหน้า แต่ยังมีตลาดใหม่ที่สามารถขยายได้ เช่น เอเชียใต้ แอฟริกา อินเดีย
ส่วนในด้านนโยบายการคลัง การเร่งจัดทำงบประมาณปี 2569 สำคัญมาก เพราะการล่าช้างบประมาณที่ผ่านมา ทำให้การเบิกจ่ายลงทุนหายไปเกือบทั้งปี
สำหรับประเด็นการบริหารเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปี 2568 และในปี 2569 ที่สภาพัฒน์แนะนำให้รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่
1.การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ไม่ต่ำกว่า 75% เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อนุมัติแล้ว และเร่งจัดทำงบปี 2570
2.ฟื้นการท่องเที่ยว
3.เร่งฟื้นฟูเกษตรกรหลังอุทกภัย เร่งโครงการ บริหารจัดการน้ำตามแผนหลัก
4.ผลักดันการส่งออก ลดต้นทุนผู้ผลิต รับมือกีดกันการค้าสหรัฐ การสร้างความเข้าใจเรื่องกฎถิ่นกำเนิด (C/O และ RVC) ขยายตลาดใหม่ เดินหน้าเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป-เกาหลีใต้ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ บริหารความเสี่ยงค่าเงิน
5.กระตุ้นลงทุนเอกชน และดึง FDI เข้าประเทศ โดยเร่งให้นักลงทุนที่ได้รับส่งเสริมในช่วงปี 2567 -2569 ลงทุนจริง และใช้โอกาสการเบี่ยงเบนการค้า -การลงทุนจากมาตรการสหรัฐ ดึงอุตสาหกรรม มูลค่าเพิ่มสูงเข้าประเทศ 6.ให้ความสำคัญกับการ แก้ปัญหาสินเชื่อ-คลี่คลายลูกหนี้เรื้อรังโดย เดินหน้าลดปัญหา NPL ครัวเรือน ผ่านมาตรการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" และปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก ช่วย SMEs ที่ขาดสภาพคล่องจากผลกระทบกีดกันการค้า ยกระดับฐานข้อมูลหนี้ทั้งในและนอกระบบ เพื่อวิเคราะห์เครดิตและปรับโครงสร้างหนี้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
มั่นใจจีดีพีปีนี้เกิน2%-ห่วงโตต่ำระยะยาว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ายังมั่นใจว่าจีดีพีปี 2568 จะขยายตัวเกิน 2% โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเสาที่หนึ่งทั้งคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเป็นส่วนสำคัญ หลังรัฐบาลออกนโยบาย ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอกชนก็เริ่มฟื้นตัว
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า แม้ภาพเศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจไม่ได้แย่หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ภาพใหญ่ยังน่ากังวล จากศักยภาพการเติบโตระยะยาวที่อาจเหลือเพียง 1-2% เท่านั้น หากไม่ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปฏิรูปด้านเทคโนโลยี ที่ดินแรงงาน ด้านพลังงานต่าง ๆ ดังนั้น หากไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้ระยะยาวเศรษฐกิจไทย การโตจะวนอยู่ในระดับต่ำต่อไป หรืออาจไม่ถึง 1% ในอนาคต
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ที่ออกมา ไม่ต่างกับที่ประเมินไว้ คือ โตต่ำเทียบกับปีก่อน และติดลบเทียบไตรมาสต่อไตรมาสหน้า แต่เชื่อว่าการติดลบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าไม่น่าจะลากยาว และนำไปสู่ภาวะ ถดถอยทางเทคนิค และมองไตรมาส 4 จะเริ่มฟื้นตัวได้ เพราะรัฐบาลเริ่มทำงาน มาตรการต่าง ๆ เริ่ม เดินหน้า และความเชื่อมั่นค่อย ๆ กลับมา สิ่งที่น่าห่วง ที่สุดไม่ใช่การถดถอย แต่คือเศรษฐกิจโตต่ำยาวนาน
"การโตต่ำจะลากยาวไปถึงอย่างน้อยครึ่งแรกของปีหน้า และนี่คือประเด็นใหญ่ที่ทำให้ความน่าสนใจของไทยลดลงในสายตาต่างชาติ เพราะกลายเป็นประเทศที่ขยายตัวต่ำสุดในภูมิภาคอีกครั้ง เพราะปีนี้คาดว่าไทยขยายตัว 2.2% ปีหน้า 1.7%"
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจที่ออกมาในไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยจากเดิมที่คาด 1.6%
สิ่งที่น่าห่วงที่สุด คือ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่แย่กว่าที่คาดมาก แม้ว่าการส่งออกจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ แต่ก็มีสัญญาณค่อนข้างชะลอลง และปีถัดไปน่ากังวลยิ่งกว่าจากผลกระทบนโยบายทรัมป์
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ