กคช.ขาย บ้านคนจน เคหะประชารัฐร่วมใจราคา7แสน-2ล้านบ.
Loading

กคช.ขาย บ้านคนจน เคหะประชารัฐร่วมใจราคา7แสน-2ล้านบ.

วันที่ : 9 กรกฎาคม 2561
กคช.ขาย บ้านคนจน เคหะประชารัฐร่วมใจราคา7แสน-2ล้านบ.

    การเคหะฯถอดบทเรียน'บ้าน เอื้ออาทร' 15 ปีผู้รับเหมายัง ส่งบ้านไม่หมด

 

          ขุนคลังชี้ใช้มือถือแก้อีดีซี

 

          เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของ ผู้มีรายได้น้อย 11.4 ล้านคนที่มาลงทะเบียนนั้น สามารถใช้จ่ายที่ธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งธนาคารกรุงไทยได้ติดตั้งเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) เพื่อชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดเพราะร้านค้าประชารัฐส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลมีน้อย จึงได้มีการขยายเพื่อให้มีร้านค้าอื่นๆ ที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะสามารถซื้อสินค้าได้เพิ่มขึ้น โดยธนาคารกรุงไทยได้พัฒนาเป็นแอพพลิเคชั่นบนมือถือขึ้นมา เพราะปัจจุบันมีการใช้มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้น แม่ค้าพ่อค้าในตลาดก็มีสมาร์ทโฟน สามารถใช้สมาร์ทโฟนในการรับชำระค่าสินค้าได้โดยไม่ต้องมีการติดตั้งเครื่องอีดีซีที่มีต้นทุนในการติดตั้ง โดยร้านค้าที่จะขยายเพิ่มขึ้นจะเน้นกระจายไปในร้านค้ารายย่อยมากขึ้น เช่น แผงค้า ในตลาดสด เป็นต้น

 

          กรุงไทยพัฒนาแอพพ์ถุงเงิน

 

          นายผยง ศรีวนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น "ถุงเงินประชารัฐ" เพื่อใช้สำหรับรับชำระค่าสินค้าจากผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านแอพพลิเคชั่น โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงใช้บัตรชำระค่าสินค้าได้เช่นเดิม สำหรับร้านค้าที่สนใจจะเข้าร่วมสามารถสมัครได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าภายใน หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้วจะออกหนังสือรับรองให้ร้านค้า และส่งข้อมูลร้านค้าให้กับกรมบัญชีกลาง จากนั้นร้านค้านำหนังสือรับรองไปยื่นต่อธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศกว่า 1,100 แห่ง พร้อมสำเนาบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์หรือกระแส รายวัน ในกรณีที่ไม่มีบัญชีกับธนาคารสามารถเปิดบัญชีและสมัครบริการ เคทีบี เน็ตแบงก์ หลังจากนั้น ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐเพื่อใช้งาน ซึ่งแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องอีดีซี อีกทั้งแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐยังสามารถตรวจสอบรายการขายสินค้าได้ทันที รวมทั้งสามารถดูรายการสรุปยอดได้ทั้งแบบ รายวัน สัปดาห์และรายเดือน

 

          ขอรหัส6หลักชำระค่าสินค้าบริการ

 

          นายผยงกล่าวว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านถุงเงินประชารัฐได้ โดยต้องกำหนดรหัส (พิน) 6 หลัก เพื่อใช้คู่กับบัตรในการชำระค่าสินค้า โดยสามารถขอรหัสได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทยและที่ตู้เอทีเอ็มได้ ทั้งนี้ เมื่อไปเลือกซื้อสินค้าผู้ถือบัตรต้องแสดงบัตรให้เจ้าของร้าน และเมื่อจะชำระค่าสินค้า เจ้าของร้านจะสแกนที่บัตรสวัสดิการ พร้อมระบุค่าสินค้าทั้งหมดที่จะต้องชำระ จากนั้นจะยื่นมือถือให้ผู้ถือบัตรกดรหัส 6 หลัก เพื่อยืนยันการชำระเงิน

 

          นางอรนุช ศิรประภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ เมื่อมีร้านค้าที่ได้ใบรับรองจากกระทรวงพาณิชย์มายื่นเอกสารที่ธนาคาร ธนาคารสามารถ ดำเนินการติดตั้งแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐให้ร้านค้าได้ และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ในช่วงวันที่ 10 กรกฎาคมนี้

 

          กคช.จ่อทำ2แสนยูนิต5ปี

 

          นายธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ กคช. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พัฒนาโครงการบ้านในระดับแมสในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีอยู่แล้วเข้าโครงการร่วมภาครัฐเอกชน (พีพีพี) เพื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มสร้างครอบครัวใหม่และกลุ่มผู้สูงอายุมีบ้าน ว่า กคช.จะใช้บทเรียนจากการพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรมาดำเนินการพัฒนาโครงการตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาเหมือนโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ปัจจุบันยังเหลืออยู่อีกเกือบหมื่นยูนิตรอการส่งมอบ ทั้งนี้ โครงการใหม่ที่ได้รับโจทย์มานั้น กคช.มีแผนที่จะพัฒนาประมาณ 200,000 ยูนิต ในระยะเวลา 4-5 ปีนับจากนี้ ภายใต้ชื่อโครงการเคหะ ประชารัฐร่วมใจ

 

          เปิด3รูปแบบดำเนินตามนโยบาย

 

          นายธัชพลกล่าวว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินการนั้น กคช.มีแนวคิดจะดำเนินการใน 3 รูปแบบคือ 1.โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ Joint Investment หรือการลงทุนในลักษณะพีพีพี กับโครงการที่มีมูคค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยใช้ที่ดินแปลงใหญ่ของ กคช.แต่ยอมรับว่าการดำเนินการลักษณะนี้จะมีความล่าช้า อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน จึงจะดำเนินการได้แล้วเสร็จ เพราะมีกระบวนการขั้นตอนหลายขั้นตอนทั้งการเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) กคช. การเสนอให้กระทรวงอนุมัติ จากนั้นเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) จากนั้นก็จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงเห็นว่ามีความช้า อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการเปิดประชาพิจารณ์ รวมทั้งการเปิดรับฟังความเห็นภาคเอกชน (มาร์เก็ตซาวน์ดิ้ง) ด้วย

 

          "ข้อจำกัดของกระบวนการทำพีพีพี คือถ้าทำตามขั้นตอนอาจจะมีความล่าช้า และต้องมีกระบวนการด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน" นาย ธัชพลกล่าว

 

          นายธัชพลกล่าวว่า 2.รูปแบบ Joint Operation คือการซอยย่อยโครงการให้มีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่ง กคช.สามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่ต้องนำเสนอ ครม. และ 3.สนับสนุนให้เอกชนที่มีที่ดินในต่างจังหวัดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศในทุกจังหวัดได้ โดยเรียกว่า Joint Support โดย กคช.จะเป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง คือการให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนจนกระทั่งถึงกระบวนการขาย โดย กคช.จะคัดเลือกที่ดินที่มีศักยภาพที่เอกชนนำเสนอมา จากนั้นก็จะรับประกันให้ไปหารือกับสถาบันการเงิน ที่ กคช.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ไว้ 3 แห่งคือ ออมสิน ธอส. และกรุงไทย เพื่อให้สนับสนุนสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อยด้วย โดยทั้ง 3 แห่งจะผ่อนปรนเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อและการให้เงินกู้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ โดยโครงการลักษณะนี้ปัจจุบันมีเอกชนแสดงความสนใจแล้วประมาณ 60 ราย

 

          เล็ง5แปลงใหญ่ลงทุนแบบพีพีพี

 

          นายธัชพลกล่าวว่า สำหรับรูปแบบแรกนั้น กคช.มีแผนที่จะพัฒนาจำนวน 5 โครงการคือ ที่ 1.บางพลี จ.สมุทรปราการ 2.หนองหอย จ.เชียงใหม่ 3.โครงการฟื้นฟูเคหะชุมชนดินแดงเฟส 3 และเฟส 4 4.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และ 5.โครงการเคหะร่มเกล้า กทม. โดยส่วนนี้ คาดว่าจะเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนโครงการรูปแบบที่ 2 นั้นมีที่ดินพอที่จะพัฒนาได้ประมาณ 10-20 แปลง แปลงละประมาณ 10-50 ไร่ โดยที่ดินที่จะหยิบมาพัฒนาโครงการได้ในเบื้องต้นคือ ที่ดินย่านบางพลี สมุทรปราการ, ลำลูกกาคลอง 11, สี่แยกประทุมวิไล จ.ปทุมธานี, โครงการเคหะชุมชนห้วยขวาง และโครงการย่านประชานิเวศน์ 3 ซึ่งกลุ่มนี้ มีแผนที่จะพัฒนาเป็นอาคารชุด

 

          นายธัชพลกล่าวว่า สำหรับรูปแบบที่ 3 นั้น เบื้องต้นมีแผนจะดำเนินการใน 20 จังหวัดก่อน จากนั้นก็จะขยายให้ครบทุกจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ โครงการละประมาณ 300-400 ยูนิต หากประสบผลสำเร็จก็เชื่อว่าจะมีจังหวัดละไม่ต่ำกว่า 3-5 โครงการ ซึ่งเอกชนที่นำที่ดินมาพัฒนาโครงการรูปแบบนี้จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ กคช.เป็นที่ปรึกษาให้ทุกด้านรวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วย

 

          ถอดบทเรียนบ้านเอื้ออาทร

 

          "โครงการที่จะดำเนินการทั้งหมด เราได้ถอดบทเรียนจากปัญหาการพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรในอดีตที่ดำเนินการมาแล้วกว่า 15 ปี แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังส่งมอบได้ไม่หมด โดยปัญหาของโครงการบ้านเอื้ออาทรคือการเมืองแทรกแซงมากเกินไป ซึ่ง กคช.ไม่สามารถที่จะเลือกที่ดินที่จะนำมาพัฒนาหรือเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างเองได้ สุดท้ายก็ได้ของที่ไม่มีคุณภาพและ กคช.ต้องรับมอบมาแบบนั้น ดังนั้น การพัฒนาโครงการใหม่ตามที่รองนายกรัฐมนตรีเสนอนั้น การเมืองจะต้องไม่เข้ามาแทรกแซง หรือหากจะเข้ามาก็ต้องให้ กคช.มีส่วนช่วยพิจารณาด้วย ไม่งั้นก็จะเป็นปัญหาใหม่ที่สร้างภาระให้กับ กคช.ในระยะยาวได้" นายธัชพลกล่าว

 

          ตั้งขายขั้นต่ำ7แสนสูงสุด2ล้าน

 

          นายธัชพลกล่าวว่า สำหรับราคาขายนั้น ได้กำหนดราคาขายขั้นต่ำที่ระดับ 700,000 บาท สูงสุดประมาณ 2 ล้านบาทเศษต่อยูนิต โดยหากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่เอกชนมาร่วมลงทุนในรูปแบบพีพีพีนั้นอาจจะต้องให้พัฒนาคละกัน คือทั้งบ้านราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่กำไรจะไม่มากนัก แต่อาจให้เอกชนไปทำกำไรจากบ้านสำหรับครอบครัวเริ่มต้น และบ้านสำหรับกลุ่มคนสูงวัย เพราะหากไม่ได้กำไรเอกชนก็คงไม่สนใจ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพบกันครึ่งทาง เพื่อให้เอกชนได้กำไรบ้าง

 

          คาดต้องให้สิทธิประโยชน์เอกชน

 

          แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การที่จะให้เอกชนเข้ามาลงทุนโครงการดังกล่าวนั้น เชื่อว่าเอกชนคงจะต้องการให้มีสิทธิประโยชน์เพื่อให้เข้ามาพัฒนาโครงการ เพราะเป็นโครงการที่ไม่ได้กำไรมากนัก ซึ่งคาดว่า สิ่งที่เอกชนต้องการคือการขอลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่าจะดำเนินการอย่างไร

 

          สงครามค้ากระทบส่งออกไม่มาก

 

          นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบต่อการส่งออกไทยหลังจากที่สหรัฐและจีนได้เริ่มเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็น 25% ในวันที่ 6 กรกฎาคมนั้น ประเมินผลกระทบต่อการส่งออกไทยปีนี้ไม่มากนัก โดยสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่สหรัฐขึ้นภาษี ในกลุ่มแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม 100-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรณีจีนที่ไทยเป็นห่วงโซ่การผลิต เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกขั้นต้น อาจจะกระทบราว 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หากจีนไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ อาจจะมีการนำสินค้าเหล่านี้เข้ามาทุ่มตลาด ในส่วนสิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า จะกระทบต่อไทยราว 80-120 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ไทยมีโอกาสที่จะส่งสินค้าไปสหรัฐได้เพิ่มขึ้น ในกลุ่ม ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และวงจรรวม (ไอซี) ชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติกมีมูลค่าเพิ่ม ราว 200-300 ล้านบาท และสามารถส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้น เช่น พลาสติกขั้นต้น ผลิตภัณฑ์น้ำมันแปรูป ราว 100-200 ล้านบาท

 

          นายศิวัสน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความชัดเจนอีกระยะว่าจะมีการกีดกันการค้ามากขึ้นและขยายจำนวนสินค้าหรือไม่ ทั้งนี้ หากสงครามการค้ามีความรุนแรงอาจจะกระทบต่อบรรยากาศการค้าทั่วโลก

 

          เผยสถานการณ์อสังหาฯเชียงใหม่

 

          ที่ จ.เชียงใหม่ นายนนท์ หิรัญเชรษฐ์ นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือ เผยกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายพัฒนาเมืองหลักภูมิภาค เพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ตามโครงการที่รัฐบาลผลักดันว่า เป็นแนวคิดและนโยบายที่ดี แต่ที่พูดคุยกับแบงก์ชาติภาคเหนือ พบว่าสถาบันการเงิน เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ กฎหมายผังเมืองยังไม่ลงตัว ประกอบกับเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขาดสภาพคล่อง นักลงทุนไม่มีความมั่นใจ และรอการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ส.ส. เพื่อมีรัฐบาลที่มาจากประชาชน ทำให้นักลงทุนหรือผู้ประกอบการมีความมั่นใจกล้าลงทุนมากขึ้น ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่และภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากส่วนกลาง 80% ท้องถิ่น 20% ซึ่งกลุ่มทุนจากส่วนกลางมีความได้เปรียบ กว้านซื้อที่ดินถนนวงแหวนรอบ 2 และรอบ 3 เพื่อสร้างบ้านจัดสรรขายในราคา 3-5 ล้านบาท/หลัง ขณะที่ท้องถิ่น สร้างบ้านขายในราคา 2-3 ล้านบาท/หลัง เท่านั้น หมู่บ้านจัดสรรที่ขยายตัวมากที่สุดคือพื้นที่ อ.หางดง อ.สันกำแพง อ.สันทราย อ.ดอยสะเก็ด ส่วน อ.แม่ริม ขยายตัวน้อย เนื่องจากมีข้อจำกัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตทหาร และส่วนราชการต่างๆ

 

          "เดิมเชียงใหม่ มีการพัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ช่วง 4-5 ปี เริ่มชะลอตัวลดลงเหลือปีละ 8,000-9,000 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนปีนี้ ช่วง 6 เดือนแรก ลดลง 5-8% เนื่องจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อและติดขัดกฎหมายผังเมือง ในส่วนพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น แต่ห้ามการก่อสร้างพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น รัฐบาลควรกระตุ้นแบงก์ชาติ ภาคเหนือ และสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อแก่นักลงทุน พร้อมแก้กฎหมายผังเมืองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่สำคัญเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาเมืองหลักภูมิภาคด้วย" นายนนท์กล่าว

 

          268สินค้ากระทบ7.6หมื่นล.ดอลล์

 

          นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า การที่ สนค.กำลังติดตามการนำเข้าสินค้า 268 รายการของ 50 ประเทศที่ค้าขายสำคัญในโลก หลังการประกาศการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 รวมถึงประเทศที่โต้ตอบสหรัฐ ทั้งจีน และประเทศในสหภาพยุโรปหลัก 6 ประเทศ ซึ่งเบื้องต้นประเมินมูลค่ารวม 76,420 ล้านเหรียญสหรัฐ ว่าจะเคลื่อนย้ายอย่างไร ไปที่ใด ซึ่งมีทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูป โดยหลักการต้องดูทั้งสินค้าสำเร็จรูปที่ส่งเข้าประเทศต่างๆ และการสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งส่วนหลังนี้จะมีผลโดยตรงกับไทย เพราะไทยเป็นประเทศที่เป็นห่วงโซ่หนึ่งในขบวนการการผลิตสินค้าสำเร็จรูปของทั่วโลก ผลกระทบมีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ จากการโยกย้ายแหล่งผลิตและระบายสินค้าของประเทศต่างๆ คาดว่าจะมีความชัดเจนในระยะ 2 เดือนจากนี้

 

          เอกชนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

 

          แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมไทยกล่าวว่า ทั้งผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าสินค้าไทย กำลังรวมตัวกันติดตามสถานการณ์การปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐเองหรือประเทศที่โต้กลับสหรัฐว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป รวมถึงกำลังซื้อในประเทศ และกำลังผลิตเป็นอย่างไรในแต่ละประเทศ ยังดูการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากนี้ของสหรัฐและประเทศต่างๆ ด้วย โดยเริ่มมองว่าสหรัฐจะใช้วิธีการพิจารณาเป็นกรณีๆ แทนการเหมาตั้งกำแพงภาษีคลุมทุกสินค้าหรือทุกประเทศ เพราะสหรัฐอาจเจอปัญหาราคาสินค้าภายในสูงขึ้นจากการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูง และเหลือไม่กี่ประเทศที่ขายสินค้านั้น อาจกดดันปริมาณสินค้าที่ลดลงและราคาสินค้าในสหรัฐสูงขึ้น

 

          "ตอนนี้คงต้องจับตาว่านโยบายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐใช้นั้นส่งผลต่อกระแสเอาด้วยไม่เอาด้วยของคนสหรัฐ เพราะจะมีผล กระทบต่อคะแนนเสียงที่สหรัฐจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ หากเป็นผลกระทบต่อกำลังซื้อภายในเอง อาจเห็นการผ่อนคลายเรื่องตั้งภาษีนำเข้าที่กำลังพิจารณารอบสอง จากที่ประเมินกันก่อนหน้านี้ว่าจะมีมูลค่ารวมเป็นแสนล้านเหรียญนั้นคลี่คลายลง หากเป็นอย่างนี้ไทยจะได้รับ ผลกระทบไม่มาก" แหล่งข่าวกล่าว

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาครัฐ อื่นๆ