UVเนื้อหอมกองทุนจ้องรายได้ปีนี้แตะ2หมื่นล้าน
UV เนื้อหอม กองทุนเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม หลังสัญญาณการเติบโตในอนาคต รายได้บริษัทลูกหนุน เชื่อปีนี้โชว์ตัวเลขแตะ 2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท บุ๊กยอดโอนอสังหาเต็มสูบไม่ต่ำกว่า 1.58 หมื่นล้านบาท เดินหน้าเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 11 โครงการ มูลค่าทั้งหมด 1.1 หมื่นล้านบาท ซุ่มซื้อกิจการเสริมแกร่ง
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่าเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด ได้มาซึ่งหลักทรัพย์บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV จำนวน 0.34% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลมีจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.13% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
รายได้แตะ 2 หมื่นล้าน
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV สร้างผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะดีมากในปี 2560 นี้ เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังเข้าถือหุ้นบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GOLD ทำให้รายได้ปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 1.73 หมื่นล้านบาท แตะ 2 หมื่นล้านบาท
โดยมาจากการรับรู้รายได้โอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ 1.58 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 1.12 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4.6 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจสังกะสี (Zinc) ประมาณ 1.5-1.6 พันล้านบาท โดยธุรกิจสังกะสีเติบโตจากการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น หลังจากที่ผู้ประกอบการจีนเข้ามาตั้งโรงงานยางในประเทศไทยมากขึ้นทำให้ความต้องการใช้สูงขึ้น
ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายปี 2560 ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น แนวราบ 1.3 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3.5 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้แล้ว 8.4 พันล้านบาท คิดเป็น 51% ของเป้าหมายทั้งหมด ขณะที่เตรียมเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มอีก 11 โครงการ มูลค่าทั้งหมด 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาส 3/2560 ทั้งหมด 5 โครงการ ประกอบด้วยโฮมทาวน์ 4 โครงการ และบ้านแฝด 1 โครงการ และไตรมาส 4/2560 ทั้งหมด 6 โครงการ ประกอบด้วยโฮมทาวน์ 5 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ
ศึกษาซื้อกิจการ
สำหรับงบลงทุนในการซื้อที่ดินปีนี้ตั้งไว้ที่ 2.75 พันล้านบาท ใช้ไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรกราว 2.1 พันล้านบาท และเหลืออีกราว 634 ล้านบาท เป็นการเน้นซื้อที่ดินในบริเวณติดรถไฟฟ้า หรือห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมตร เพื่อใช้ในการเปิดตัวโครงการแนวสูงแบรนด์ใหม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการมองหาการเข้าซื้อธุรกิจ M&A ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสังกะสี เนื่องจากบริษัทมีแผนการสร้างรายได้อื่นๆ เพื่อลดสัดส่วนรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหลือ 80% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 90% และธุรกิจสังกะสี 10%