คอลัมน์ รายงานพิเศษ: ลุ้นวีซ่าอยู่ไทยยาว10ปี ดึงเศรษฐีกระตุ้นศก.-อสังหาฯ
วันที่ : 3 ตุลาคม 2565
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า การให้สิทธิ์ในการซื้อที่ดินได้ก็คงมีผลต่อราคาที่ดินอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้ราคาที่ดินพุ่งพรวดขึ้นมาในทันใด เนื่องจากต่างชาติคงไม่ได้เข้ามาซื้อที่ดินกัน มากจนกระทั่งมีผลทำให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงราคาได้รวดเร็วขนาดนั้น
รัฐบาลไทยมีนโยบายให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศ หวังช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ขณะเดียวกันจะส่งผลดีกับภาคอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลเริ่มเปิดพิจารณาออกวีซ่าประเภทใหม่ สำหรับผู้พำนักระยะยาวของประเทศไทย (Long - Term Resident Visa : LTR Visa)
LTR Visa มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางเพื่อการทำงานจากทั่วโลก
จะให้สิทธิประโยชน์กับบุคลากรชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ได้แก่
1. ผู้มีความมั่งคั่งสูง ต้องมีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน เหรียญสหรัฐ และมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญ สหรัฐ/ปี และลงทุนในไทยไม่น้อยกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ
2. ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องลงทุน ไม่น้อยกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาล หรืออสังหาริมทรัพย์
3.ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนดต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A
4. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือ LTR Visa จะได้สิทธิพำนักในประเทศไทย 10 ปี สามารถใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ รายงานตัวทุก 1 ปี (จากเดิมทุก 90 วัน) และไม่ต้องยื่นขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (Re-entry permit) อนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย โดยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือ 17% สำหรับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และมีผู้ติดตามได้ 4 คน
มาดูมุมมองของผู้ที่อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ว่าคิดเห็นอย่างไร นางสุพินท์ มีชูชีพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL หนึ่งในบริษัทบริการ ด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก กล่าวว่า การออกวีซ่าระยะยาว 10 ปี ในภาพรวมเชื่อว่าจะสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่มเป้าหมายเข้ามาทำงานหรือพำนักอาศัยในประเทศไทยได้มากขึ้น และส่งผลดีโดยตรงต่อภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนของตลาดเช่าและตลาดการซื้อขาย
นอกจากนี้ ยังจะส่งผลดีทางอ้อมแก่อสังหาริมทรัพย์ อีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานศูนย์การค้า เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โรงแรม หรือรีสอร์ต เนื่องจากโดยทั่วไปเป็นกลุ่มคนที่ไม่เพียงแต่มีกำลังซื้อสูง แต่เข้ามาพร้อมกับครอบครัว
"นโยบายการให้วีซ่าระยะยาวของรัฐบาลนี้ ถือเป็นนโยบายที่มีความก้าวหน้า และสอดรับกับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายสอดรับกับเทรนด์การทำงานจากที่ใดก็ได้"
ด้าน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าความเห็นส่วนตัวคิดว่าคงต้องรอดูว่านโยบายที่รัฐบาลออกมานั่นจะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับสิทธิในการซื้อที่ดินด้วยหรือไม่
ซึ่งจะคล้ายกับการอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยได้ ที่เคยให้มาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าอันนี้จะเป็นในระดับตัวบุคคล
อย่างไรก็ดี คงต้องรอดูกระแสการตอบรับจากชาวต่างชาติก่อนว่าจะให้ความสนใจจริงหรือไม่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะซื้อในพื้นที่ใด สำหรับตัวบุคคลอาจซื้อบ้านในแหล่งท่องเที่ยว หรือเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดใหญ่ๆ ให้คนต่างชาติซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ สำหรับบุคคล และ 5 ไร่ สำหรับการประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องของการส่งเสริมให้ต่างชาตินำเงินมาลงทุน
"การให้สิทธิ์ในการซื้อที่ดินได้ก็คงมีผลต่อราคาที่ดินอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้ราคาที่ดินพุ่งพรวดขึ้นมาในทันใด เนื่องจากต่างชาติคงไม่ได้เข้ามาซื้อที่ดินกัน มากจนกระทั่งมีผลทำให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงราคาได้รวดเร็วขนาดนั้น"
ส่วน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า เมื่อประกาศของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนด ใช้ร่วมกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 2 มิ.ย.2565 และมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. 2555 อาจเป็นกฎหมายที่ส่งเสริมการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในระดับหนึ่ง
"แต่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ยังไม่สามารถซื้อบ้าน ที่ดินได้ อาจไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินหรือการแห่เข้ามาของชาวต่างชาติแน่นอน เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าต้องเข้ามาลงทุน และต้องผ่านการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนก่อน ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่มีเงิน 50 ล้านบาท ก็เข้ามาได้ ยกเว้นว่าผ่านเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แต่อาจทำให้คอนโดมิเนียมได้รับความสนใจจากคนกลุ่มนี้มากขึ้น"
สำหรับทำเล และประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่อาจได้รับผลบวกจากทั้ง 2 กฎหมายนี้ คือ คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เพราะคอนโดฯ สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ได้ในชื่อของพวกเขาทันทีไม่ต้องผ่านกฎหมายใดๆ
แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนก็คงต้องเป็นบ้าน หรือที่ดินในพื้นที่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรม และกรุงเทพฯ คงไม่ได้เกิดการซื้อที่ดิน ซื้อบ้านกันมากมาย
ต้องมาลุ้นกันว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้มากน้อยแค่ไหน
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลเริ่มเปิดพิจารณาออกวีซ่าประเภทใหม่ สำหรับผู้พำนักระยะยาวของประเทศไทย (Long - Term Resident Visa : LTR Visa)
LTR Visa มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางเพื่อการทำงานจากทั่วโลก
จะให้สิทธิประโยชน์กับบุคลากรชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ได้แก่
1. ผู้มีความมั่งคั่งสูง ต้องมีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน เหรียญสหรัฐ และมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญ สหรัฐ/ปี และลงทุนในไทยไม่น้อยกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ
2. ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องลงทุน ไม่น้อยกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาล หรืออสังหาริมทรัพย์
3.ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนดต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A
4. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐ/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือ LTR Visa จะได้สิทธิพำนักในประเทศไทย 10 ปี สามารถใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ รายงานตัวทุก 1 ปี (จากเดิมทุก 90 วัน) และไม่ต้องยื่นขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (Re-entry permit) อนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย โดยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือ 17% สำหรับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และมีผู้ติดตามได้ 4 คน
มาดูมุมมองของผู้ที่อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ว่าคิดเห็นอย่างไร นางสุพินท์ มีชูชีพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL หนึ่งในบริษัทบริการ ด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก กล่าวว่า การออกวีซ่าระยะยาว 10 ปี ในภาพรวมเชื่อว่าจะสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่มเป้าหมายเข้ามาทำงานหรือพำนักอาศัยในประเทศไทยได้มากขึ้น และส่งผลดีโดยตรงต่อภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนของตลาดเช่าและตลาดการซื้อขาย
นอกจากนี้ ยังจะส่งผลดีทางอ้อมแก่อสังหาริมทรัพย์ อีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานศูนย์การค้า เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โรงแรม หรือรีสอร์ต เนื่องจากโดยทั่วไปเป็นกลุ่มคนที่ไม่เพียงแต่มีกำลังซื้อสูง แต่เข้ามาพร้อมกับครอบครัว
"นโยบายการให้วีซ่าระยะยาวของรัฐบาลนี้ ถือเป็นนโยบายที่มีความก้าวหน้า และสอดรับกับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายสอดรับกับเทรนด์การทำงานจากที่ใดก็ได้"
ด้าน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าความเห็นส่วนตัวคิดว่าคงต้องรอดูว่านโยบายที่รัฐบาลออกมานั่นจะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับสิทธิในการซื้อที่ดินด้วยหรือไม่
ซึ่งจะคล้ายกับการอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยได้ ที่เคยให้มาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าอันนี้จะเป็นในระดับตัวบุคคล
อย่างไรก็ดี คงต้องรอดูกระแสการตอบรับจากชาวต่างชาติก่อนว่าจะให้ความสนใจจริงหรือไม่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะซื้อในพื้นที่ใด สำหรับตัวบุคคลอาจซื้อบ้านในแหล่งท่องเที่ยว หรือเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดใหญ่ๆ ให้คนต่างชาติซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ สำหรับบุคคล และ 5 ไร่ สำหรับการประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องของการส่งเสริมให้ต่างชาตินำเงินมาลงทุน
"การให้สิทธิ์ในการซื้อที่ดินได้ก็คงมีผลต่อราคาที่ดินอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้ราคาที่ดินพุ่งพรวดขึ้นมาในทันใด เนื่องจากต่างชาติคงไม่ได้เข้ามาซื้อที่ดินกัน มากจนกระทั่งมีผลทำให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงราคาได้รวดเร็วขนาดนั้น"
ส่วน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า เมื่อประกาศของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนด ใช้ร่วมกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 2 มิ.ย.2565 และมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. 2555 อาจเป็นกฎหมายที่ส่งเสริมการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในระดับหนึ่ง
"แต่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ยังไม่สามารถซื้อบ้าน ที่ดินได้ อาจไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินหรือการแห่เข้ามาของชาวต่างชาติแน่นอน เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าต้องเข้ามาลงทุน และต้องผ่านการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนก่อน ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่มีเงิน 50 ล้านบาท ก็เข้ามาได้ ยกเว้นว่าผ่านเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แต่อาจทำให้คอนโดมิเนียมได้รับความสนใจจากคนกลุ่มนี้มากขึ้น"
สำหรับทำเล และประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่อาจได้รับผลบวกจากทั้ง 2 กฎหมายนี้ คือ คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เพราะคอนโดฯ สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ได้ในชื่อของพวกเขาทันทีไม่ต้องผ่านกฎหมายใดๆ
แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนก็คงต้องเป็นบ้าน หรือที่ดินในพื้นที่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรม และกรุงเทพฯ คงไม่ได้เกิดการซื้อที่ดิน ซื้อบ้านกันมากมาย
ต้องมาลุ้นกันว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้มากน้อยแค่ไหน
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ