3 ส.อสังหาฯพร้อม 15 ภูมิภาค-หอการค้าฯ เร่งตกผลึก
วันที่ : 3 พฤศจิกายน 2565
การให้สิทธิในการถือครองที่ดินจำกัดเฉพาะการใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยรายละไม่เกิน 1 ไร่ หากได้รับสิทธิครบ 1 ไร่แล้ว ต่อมาได้มีการขายที่ดินไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แม้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็จะไม่สามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวได้อีก ทั้งนี้ หากชาวต่างชาติรายใดไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้จัดการจำหน่ายที่ดินนั้นได้
แจงเงื่อนไข 'ต่างชาติซื้อที่ดิน' เปิดข้อมูล '4กลุ่มมั่งคั่ง' กว่าพันราย ยื่นขอ LTR Visa
อสังหาริมทรัพย์
กลายเป็นชนวนปัญหาที่ใหญ่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบ 'มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย' ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้รับการ มอบหมายให้พิจารณาความเหมาะสม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนัก ระยะยาวใหม่ (Long - term resident visa : LTR) แก่กลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม (พิจารณาตารางประกอบ)
โดยประเด็นที่ "ร้อนจนทะลุปรอทแตก" คงหนีไม่พ้น เรื่องที่ ครม.อนุมัติให้มีการศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างชาติ (มีสิทธิซื้อบ้านและที่ดินไม่เกิน 1 ไร่) เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มีการนำเงินมาลงทุนในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่า ในประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดึงกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งเข้า จะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนต่อภาคเศรษฐกิจและต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน ที่ในช่วง ที่ผ่านมา มีการเข้ามาลงทุนซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์บางส่วน ที่เอานโยบายดังกล่าว ต่างออกมา "หนุน" การปลดล็อกให้ต่างชาติได้มีสิทธิในบ้านและที่ดิน เพื่อดึงเงินลงทุนเข้ามา
ขณะที่ในมิติของการเมืองแล้ว ประเด็นดังกล่าว ถูกขย่มด้วยวาทกรรม "ขายชาติ" หรือ "ยกแผ่นดิน ให้ต่างชาติ" พุ่งเป้าโจมตีรัฐบาล ซึ่งล่าสุด "มือกฎหมาย" นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า "แม้ ครม.จะมีมติอนุมัติในหลักการไปแล้ว แต่สามารถทบทวนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้" ถือว่า เป็นคำตอบ ที่พอจะบ่งชี้ได้ว่า ประเด็นดังกล่าว อาจจะถูกปรับให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการห้ามขายต่อ การกำหนดมูลค่าในแต่ละส่วนของบ้านและที่ดิน เป็นต้น
เครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจไทยปี 66 เริ่มแผ่ว
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ว่า มาตรการของรัฐ จะมีผลต่อจิตวิทยาของผู้ซื้อ ซึ่งกรณีการไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV คาดว่าจะกระทบต่อจิตวิทยาไปถึงต้นปี 2566 ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานก็ได้ส่งผลกระทบอยู่แล้วกับกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ย หนี้ภาคครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีแต่ข่าวลบตลอด ทำให้ทุกคนชะลออยู่แล้ว และการที่ ธปท.ไม่ต่อเรื่อง LTV จะกลายเป็นการซ้ำเติม
"ระยะสั้นกระทบแน่นอน แต่ระยะยาวๆ ต้องไปดูเรื่องภาคเศรษฐกิจ ข้อมูลพื้นฐานทุกตัวที่จะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ ถ้าข้อมูลออกมา พอไปได้ดี ซึ่งในปีนี้ เรามองว่า ภาคส่งออกยังเติบโต แต่ปี 66 ชะลอตัวแน่ เพราะ คู่ค้าสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของยุโรป และสหรัฐฯที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย กำลังซื้ออ่อนตัวแน่นอน ส่งออกจะเติบโตขึ้นระดับร้อยละ 1-2 ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ภาวะอสังหาฯ ก็น่าจะหนัก แต่ยังมีปัจจัยสภาพคล่องในระบบของธนาคารที่ยังเหลืออยู่ ตรงนี้ต้องดูกลไกของแต่ละธนาคาร จะเล่นได้ตัวเอง อยู่ที่เทคนิคของแต่ละแบงก์ ตอนนี้ แบงก์โฟกัสกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง ส่วนใหญ่เป็นระดับบน สินเชื่อที่ปล่อยส่วนใหญ่จะเป็นกลางถึงบน เป็นกลุ่มที่มาแรง และได้ผล ผู้ประกอบการที่จับตลาดระดับบนก็ได้ผลดี"
3ส.อสังหาฯพร้อม 15 อสังหาฯภูมิภาค เร่งตกผลึกแจงแนวทางอสังหาฯขับเคลื่อน ศก.-ปมต่างชาติซื้อที่ดิน
นายมีศักดิ์ กล่าวยอมรับว่าเศรษฐกิจปี 2566 น่าจะเข้าสู่ภาวะ "ยากลำบาก" จากสถานการณ์ที่จะถูกกระทบจากเศรษฐกิจภูมิภาคต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐฯ และจีน ซึ่งประเทศไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเรามามองว่า จะมีเครื่องมืออะไรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เรามองว่า "อสังหาฯ" น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนได้ แต่เงื่อนไขที่เราเสนอทางภาครัฐ ไม่ใช่ที่ประกาศออกมาให้มีการนำเงินเข้ามาลงทุน 40 กับสิทธิถือครองที่ดิน 1 ไร่
"เรากลับมองว่า น่าจะให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ระยะยาว เพื่อเข้ามาจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เกิดการหมุนเวียนในระบบ จะส่งถึงครัวเรือนโดยตรง ถ้าเป็นเช่นนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปอิงหลักเกณฑ์ของร่างกฎกระทรวงที่ประกาศก่อนหน้านี้ แต่เรามอง ให้คนต่างชาติ ซื้อบ้านที่พออยู่ โดยใช้เงิน บ้านที่ซื้อก็อยู่ในโครงการบ้านจัดสรร สามารถควบคุมได้ ซื้อภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดชัดเจน และเข้ามาอยู่ ยังมีนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ดูแล อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ใช่ทำธุรกิจเพื่อแข่งกับคนไทย ต่างกับ ถ้าซื้อ 1 ไร่ ถ้าเกิดรวมกันไปซื้อที่ดินทองหล่อ 5 คน 5 ไร่เป็นแปลงใหญ่ขึ้นมา อันนี้ก็เข้าข่ายถูกโจมตี ตรงนี้ ในทางปฏิบัติ ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปดูแลรายละเอียดได้"
นายมีศักดิ์กล่าวยอมรับ ทาง 3 สมาคมอสังหาฯ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย พร้อมกับ 15 สมาคมอสังหาฯที่เป็นภาคีในภูมิภาค และตัวแทนหอการค้าไทย จะมีการแถลงข่าวในประเด็นเรื่องการให้ต่างชาติเข้ามา ซื้อที่ดิน 1 ไร่ กับแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยภาคอสังหาฯจะมีแนวทางอย่างไร ประโยชน์ที่ได้ ชี้แจงเรื่องความกังวลที่ต่างชาติจะมาครอบงำประเทศไทย รวมถึงเรื่องการป้องกันผลกระทบจะมีมาตรการอย่างไรบ้าง ซึ่งเรามีประชุมมาอย่างต่อเนื่อง และจะมีการประชุม อีกครั้ง และคาดว่าเมื่อได้ข้อสรุปจะมีการแถลงข่าว
"ตอนนี้ เราได้ข้อสรุปเบื้องต้น แต่ยังไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ เราคิดว่า เปิดให้ต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรร ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ซึ่งก็เหมาะสมกับบางพื้นที่ แต่บางพื้นที่ ต่อให้กำหนดสัดส่วนให้ ก็ไม่มีต่างชาติไปซื้อ เช่น โซนรังสิต สิทธิ์ในการโหวต เราก็จะให้คนต่างชาติแค่ครึ่งเสียง หรืออย่างมากแค่ร้อยละ 24 ซึ่งไม่มีผลต่อนิติบุคคล เพราะไม่ถึง 3 ใน 4 ในการขอให้มีการเปิดประชุมได้ ปกติแล้ว ในนิติบุคคล ต้องมีเสียงอย่างน้อย 1 ใน 4 ที่สามารถยื่นเรื่องเปิดประชุมหรือคัดค้านต่างๆได้
รวมถึงมีการกำหนดราคาอ้างอิงตามข้อมูลระดับราคา ที่คนต่างชาติซื้อไม่ถูกต้อง ผ่านบริษัทจดทะเบียน (นอมินี) ขึ้นมา เช่น ในตลาดต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ใช่ข้อสรุป เพราะมีการพูดคุยไปบางกลุ่ม และต้องหารือกับบางกลุ่ม"
นายมีศักดิ์ กล่าวว่า คนต่างชาติที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้านจัดสรร ต้องอยู่ร่วมกับคนไทยได้ (Mix) มีการกลืนกัน ซึ่งเราเป็นประเทศเดียวที่มีคนต่างชาติอาศัยรวมกับคนไทยได้ ในหลายๆประเทศจะอยู่กันเป็นกลุ่มกัน
ต่างชาติไม่ทิงดาวน์ ดันโอนห้องชุด Q2 โต 15.1%
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ของคนต่างชาติ ไตรมาส 2 ปี 2565 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 2,326 หน่วย เพิ่มขึ้น 15.1% มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 12,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9% และเป็นพื้นที่โอนกรรมสิทธิ์ 109,486 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 27.6% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดการโอนกรรมสิทธิ์น ไตรมาส 2 นี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเกิด COVID-19 และเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนหน่วยสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา และ เพิ่มขึ้นในมูลค่าและพื้นที่สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส
อสังหาฯมองข้ามช็อต ขยับเพิ่มพอร์ตบ้าน-คอนโดฯหรู รอ!
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บล.เอเซีย พลัส เชื่อว่า แรงขับเคลื่อนจากการเปิดประเทศ และการปลดล็อกให้คนต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยข้างต้น จะทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และขยาย วงกว้างสู่สินค้าแนวราบ จากก่อนหน้านี้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจคอนโดฯ เป็นส่วนใหญ่
"หากพิจารณาประเด็นบวกดังกล่าว รวมกับเงื่อนไขที่กำหนดให้คนต่างชาติต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท ทำให้ผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์มากสุด คือ กลุ่มที่มีพอร์ตสินค้าระดับบนหรือกลุ่มโครงการไฮเอนด์ โดยเฉพาะแนวราบ เพราะเป็นเป้าหมายของลูกค้าชาว ต่างชาติ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจะไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการให้สิทธิต่างชาติได้มีที่ดินนั้น ผู้ประกอบการไทยและเทศ ต่างมีการรุกขยายพอร์ตโครงการระดับบนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนที่มีฐานะ มีความสามารถในการเลือกและหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่ หรือ หลังที่สอง รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่มองหาบ้านระดับไฮเอนด์ ซึ่งทำเลที่ ต่างชาติให้ความสนใจ เช่น โซนพระราม 9, บางนา-ตราด และกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ที่มีบิ๊กอสังหาฯแห่ไปพัฒนาโครงการบ้านหรูจำนวนมาก
ที่ชัดเจน ได้แก่ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) อสังหาฯที่เน้นพัฒนาทำโครงการบ้านหรู เริ่มเคลื่อนไหวรับกับโมเมนต์ตัมจากการปลดล็อกให้ ต่างชาติมีสิทธิในที่ดิน 1 ไร่ โดย นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า ต้องปรับแผนธุรกิจในปีหน้าให้รับแนวนโยบายดังกล่าว เพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านลักชัวรีระดับ 30-100 ล้านบาทขึ้นไป มากขึ้น เน้นในทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ รามคำแหง เป็นต้น
อาทิเช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่โครงการ "นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา" มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท สร้างประวัติศาสตร์โครงการบ้านลักชัวรีระดับราคา 50-100 ล้านบาท ปิดการขายโครงการได้เร็วที่สุดภายใน 1 เดือน หรือ "เศรษฐสิริ-บุราสิริ" ระดับราคา 8-20 ล้านบาท มียอดขายล่าสุดกว่า 4,800 ล้านบาท เป็นต้น
บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กลยุทธ์จะเน้นพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี เพราะบริษัทยังมองว่ากลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ยังเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มองหาโอกาสในการซื้ออสังหาฯที่มีศักยภาพ ต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยครึ่งปีหลัง เปิดขาย 2 โครงการอสังหาฯระดับบน มูลค่ารวม 4,407 ล้านบาท รวมถึงโครงการในซีบีดี ที่ดินแปลงซอยคอนแวนต์ สีลม ตรงข้ามโรงพยาบาลบีเอ็นเอช พื้นที่ 1.5 ไร่ ในราคา 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา พัฒนาเป็นคอนโดฯหรู มูลค่า 3,900 ล้านบาท
กางข้อมูล '4 กลุ่มมั่งคั่ง' กว่าพันรายยื่นขอ LTR Visa
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถยื่นขอวีซ่าระยะยาว (Long-Term Resident Visa) หรือ"LTR Visa" ในประเทศไทยได้ข้อมูลล่าสุด จากการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้รายงานจำนวนของผู้ขอยื่นขอใบสมัคร LTR Visa ณ วันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,158 ราย
โดยแยกตาม 4 กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ดังนี้
1. กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง คือ มีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี และลงทุน ในไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนดอลลาร์ มีผู้ยื่นใบสมัครแล้ว 88 คน คิดเป็น 8%
2. ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ ในพันธบัตรรัฐบาลหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยมีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 430 คน คิดเป็น 37%
3.ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A โดยในกลุ่มนี้มีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 366 คน คิดเป็น 32%
4. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย ในกลุ่มนี้มีผู้สมัครมาแล้ว 160 คน คิดเป็น 14%
ที่เหลือเป็นการยื่นขอใบสมัครของคู่สมรส และบุตรของผู้ที่ต้องการทำงานและพำนักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย โดยมีคนที่ยื่นใบสมัครวีซ่าในส่วนนี้ 144 คน คิดเป็น 14% (ตาราง : ชาวต่างชาติ 5 อันดับแรก ที่ยื่นขอวีซ่าระยะยาว)
กรมที่ดิน แจงชัด ตั้งแต่ปี 45 มีได้สิทธิแค่ 8 ราย
ขณะที่ กรมที่ดิน ได้ออกเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับ ร่างกฎกระทรวง การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ซึ่งขณะนี้ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ยังต้องผ่านขั้นตอนการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน
"การให้สิทธิในการถือครองที่ดินจำกัดเฉพาะการใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยรายละไม่เกิน 1 ไร่ หากได้รับสิทธิครบ 1 ไร่แล้ว ต่อมาได้มีการขายที่ดินไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แม้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็จะไม่สามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวได้อีก ทั้งนี้ หากชาวต่างชาติรายใดไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้จัดการจำหน่ายที่ดินนั้นได้"
สำหรับข้อมูลคนต่างชาติที่ขอใช้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยตามกฎกระทรวง พ.ศ.2545 และยังใช้อยู่จนถึงขณะนี้มีจำนวนรวม 8 ราย โดยแต่ละรายใช้สิทธิไม่เกิน 1 ไร่
...สรุป แค่ยกแรกของการอนุมัติร่างกฎกระทรวงให้ต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ ก็เอาวุ่นวาย ไปทั่ว ฝ่ายเชียร์ ก็ลุยสุดลิ่ม ฝ่ายต้าน ก็พร้อมลงถนน แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องมองในหลักความเป็นจริงว่า ยังเป็นแค่รับร่างกฎกระทรวง ซึ่งต้องรอชมกันต่อไปว่า หน่วยงานอย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา "จะแทง" ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร และเมื่อ เข้าสู่ครม.แล้ว ก็ต้องวัดกันว่า "รัฐบาล" จะหยุด หรือ เดินหน้าต่อ แต่ทั้งหมด ต้องมอง 'ผลประโยชน์ของคนในชาติ' เป็นใหญ่ รวมถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ นั่นคือ คำตอบ ที่ต้องชัดเจน!
อสังหาริมทรัพย์
กลายเป็นชนวนปัญหาที่ใหญ่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบ 'มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย' ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้รับการ มอบหมายให้พิจารณาความเหมาะสม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนัก ระยะยาวใหม่ (Long - term resident visa : LTR) แก่กลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม (พิจารณาตารางประกอบ)
โดยประเด็นที่ "ร้อนจนทะลุปรอทแตก" คงหนีไม่พ้น เรื่องที่ ครม.อนุมัติให้มีการศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างชาติ (มีสิทธิซื้อบ้านและที่ดินไม่เกิน 1 ไร่) เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มีการนำเงินมาลงทุนในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่า ในประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดึงกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งเข้า จะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนต่อภาคเศรษฐกิจและต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน ที่ในช่วง ที่ผ่านมา มีการเข้ามาลงทุนซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์บางส่วน ที่เอานโยบายดังกล่าว ต่างออกมา "หนุน" การปลดล็อกให้ต่างชาติได้มีสิทธิในบ้านและที่ดิน เพื่อดึงเงินลงทุนเข้ามา
ขณะที่ในมิติของการเมืองแล้ว ประเด็นดังกล่าว ถูกขย่มด้วยวาทกรรม "ขายชาติ" หรือ "ยกแผ่นดิน ให้ต่างชาติ" พุ่งเป้าโจมตีรัฐบาล ซึ่งล่าสุด "มือกฎหมาย" นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า "แม้ ครม.จะมีมติอนุมัติในหลักการไปแล้ว แต่สามารถทบทวนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้" ถือว่า เป็นคำตอบ ที่พอจะบ่งชี้ได้ว่า ประเด็นดังกล่าว อาจจะถูกปรับให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการห้ามขายต่อ การกำหนดมูลค่าในแต่ละส่วนของบ้านและที่ดิน เป็นต้น
เครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจไทยปี 66 เริ่มแผ่ว
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ว่า มาตรการของรัฐ จะมีผลต่อจิตวิทยาของผู้ซื้อ ซึ่งกรณีการไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV คาดว่าจะกระทบต่อจิตวิทยาไปถึงต้นปี 2566 ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานก็ได้ส่งผลกระทบอยู่แล้วกับกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ย หนี้ภาคครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีแต่ข่าวลบตลอด ทำให้ทุกคนชะลออยู่แล้ว และการที่ ธปท.ไม่ต่อเรื่อง LTV จะกลายเป็นการซ้ำเติม
"ระยะสั้นกระทบแน่นอน แต่ระยะยาวๆ ต้องไปดูเรื่องภาคเศรษฐกิจ ข้อมูลพื้นฐานทุกตัวที่จะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ ถ้าข้อมูลออกมา พอไปได้ดี ซึ่งในปีนี้ เรามองว่า ภาคส่งออกยังเติบโต แต่ปี 66 ชะลอตัวแน่ เพราะ คู่ค้าสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของยุโรป และสหรัฐฯที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย กำลังซื้ออ่อนตัวแน่นอน ส่งออกจะเติบโตขึ้นระดับร้อยละ 1-2 ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ภาวะอสังหาฯ ก็น่าจะหนัก แต่ยังมีปัจจัยสภาพคล่องในระบบของธนาคารที่ยังเหลืออยู่ ตรงนี้ต้องดูกลไกของแต่ละธนาคาร จะเล่นได้ตัวเอง อยู่ที่เทคนิคของแต่ละแบงก์ ตอนนี้ แบงก์โฟกัสกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง ส่วนใหญ่เป็นระดับบน สินเชื่อที่ปล่อยส่วนใหญ่จะเป็นกลางถึงบน เป็นกลุ่มที่มาแรง และได้ผล ผู้ประกอบการที่จับตลาดระดับบนก็ได้ผลดี"
3ส.อสังหาฯพร้อม 15 อสังหาฯภูมิภาค เร่งตกผลึกแจงแนวทางอสังหาฯขับเคลื่อน ศก.-ปมต่างชาติซื้อที่ดิน
นายมีศักดิ์ กล่าวยอมรับว่าเศรษฐกิจปี 2566 น่าจะเข้าสู่ภาวะ "ยากลำบาก" จากสถานการณ์ที่จะถูกกระทบจากเศรษฐกิจภูมิภาคต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐฯ และจีน ซึ่งประเทศไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเรามามองว่า จะมีเครื่องมืออะไรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เรามองว่า "อสังหาฯ" น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนได้ แต่เงื่อนไขที่เราเสนอทางภาครัฐ ไม่ใช่ที่ประกาศออกมาให้มีการนำเงินเข้ามาลงทุน 40 กับสิทธิถือครองที่ดิน 1 ไร่
"เรากลับมองว่า น่าจะให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ระยะยาว เพื่อเข้ามาจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เกิดการหมุนเวียนในระบบ จะส่งถึงครัวเรือนโดยตรง ถ้าเป็นเช่นนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปอิงหลักเกณฑ์ของร่างกฎกระทรวงที่ประกาศก่อนหน้านี้ แต่เรามอง ให้คนต่างชาติ ซื้อบ้านที่พออยู่ โดยใช้เงิน บ้านที่ซื้อก็อยู่ในโครงการบ้านจัดสรร สามารถควบคุมได้ ซื้อภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดชัดเจน และเข้ามาอยู่ ยังมีนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ดูแล อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ใช่ทำธุรกิจเพื่อแข่งกับคนไทย ต่างกับ ถ้าซื้อ 1 ไร่ ถ้าเกิดรวมกันไปซื้อที่ดินทองหล่อ 5 คน 5 ไร่เป็นแปลงใหญ่ขึ้นมา อันนี้ก็เข้าข่ายถูกโจมตี ตรงนี้ ในทางปฏิบัติ ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปดูแลรายละเอียดได้"
นายมีศักดิ์กล่าวยอมรับ ทาง 3 สมาคมอสังหาฯ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย พร้อมกับ 15 สมาคมอสังหาฯที่เป็นภาคีในภูมิภาค และตัวแทนหอการค้าไทย จะมีการแถลงข่าวในประเด็นเรื่องการให้ต่างชาติเข้ามา ซื้อที่ดิน 1 ไร่ กับแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยภาคอสังหาฯจะมีแนวทางอย่างไร ประโยชน์ที่ได้ ชี้แจงเรื่องความกังวลที่ต่างชาติจะมาครอบงำประเทศไทย รวมถึงเรื่องการป้องกันผลกระทบจะมีมาตรการอย่างไรบ้าง ซึ่งเรามีประชุมมาอย่างต่อเนื่อง และจะมีการประชุม อีกครั้ง และคาดว่าเมื่อได้ข้อสรุปจะมีการแถลงข่าว
"ตอนนี้ เราได้ข้อสรุปเบื้องต้น แต่ยังไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ เราคิดว่า เปิดให้ต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรร ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ซึ่งก็เหมาะสมกับบางพื้นที่ แต่บางพื้นที่ ต่อให้กำหนดสัดส่วนให้ ก็ไม่มีต่างชาติไปซื้อ เช่น โซนรังสิต สิทธิ์ในการโหวต เราก็จะให้คนต่างชาติแค่ครึ่งเสียง หรืออย่างมากแค่ร้อยละ 24 ซึ่งไม่มีผลต่อนิติบุคคล เพราะไม่ถึง 3 ใน 4 ในการขอให้มีการเปิดประชุมได้ ปกติแล้ว ในนิติบุคคล ต้องมีเสียงอย่างน้อย 1 ใน 4 ที่สามารถยื่นเรื่องเปิดประชุมหรือคัดค้านต่างๆได้
รวมถึงมีการกำหนดราคาอ้างอิงตามข้อมูลระดับราคา ที่คนต่างชาติซื้อไม่ถูกต้อง ผ่านบริษัทจดทะเบียน (นอมินี) ขึ้นมา เช่น ในตลาดต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ใช่ข้อสรุป เพราะมีการพูดคุยไปบางกลุ่ม และต้องหารือกับบางกลุ่ม"
นายมีศักดิ์ กล่าวว่า คนต่างชาติที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้านจัดสรร ต้องอยู่ร่วมกับคนไทยได้ (Mix) มีการกลืนกัน ซึ่งเราเป็นประเทศเดียวที่มีคนต่างชาติอาศัยรวมกับคนไทยได้ ในหลายๆประเทศจะอยู่กันเป็นกลุ่มกัน
ต่างชาติไม่ทิงดาวน์ ดันโอนห้องชุด Q2 โต 15.1%
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ของคนต่างชาติ ไตรมาส 2 ปี 2565 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 2,326 หน่วย เพิ่มขึ้น 15.1% มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 12,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9% และเป็นพื้นที่โอนกรรมสิทธิ์ 109,486 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 27.6% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดการโอนกรรมสิทธิ์น ไตรมาส 2 นี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเกิด COVID-19 และเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนหน่วยสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา และ เพิ่มขึ้นในมูลค่าและพื้นที่สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส
อสังหาฯมองข้ามช็อต ขยับเพิ่มพอร์ตบ้าน-คอนโดฯหรู รอ!
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บล.เอเซีย พลัส เชื่อว่า แรงขับเคลื่อนจากการเปิดประเทศ และการปลดล็อกให้คนต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยข้างต้น จะทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และขยาย วงกว้างสู่สินค้าแนวราบ จากก่อนหน้านี้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจคอนโดฯ เป็นส่วนใหญ่
"หากพิจารณาประเด็นบวกดังกล่าว รวมกับเงื่อนไขที่กำหนดให้คนต่างชาติต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท ทำให้ผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์มากสุด คือ กลุ่มที่มีพอร์ตสินค้าระดับบนหรือกลุ่มโครงการไฮเอนด์ โดยเฉพาะแนวราบ เพราะเป็นเป้าหมายของลูกค้าชาว ต่างชาติ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจะไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการให้สิทธิต่างชาติได้มีที่ดินนั้น ผู้ประกอบการไทยและเทศ ต่างมีการรุกขยายพอร์ตโครงการระดับบนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนที่มีฐานะ มีความสามารถในการเลือกและหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่ หรือ หลังที่สอง รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่มองหาบ้านระดับไฮเอนด์ ซึ่งทำเลที่ ต่างชาติให้ความสนใจ เช่น โซนพระราม 9, บางนา-ตราด และกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ที่มีบิ๊กอสังหาฯแห่ไปพัฒนาโครงการบ้านหรูจำนวนมาก
ที่ชัดเจน ได้แก่ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) อสังหาฯที่เน้นพัฒนาทำโครงการบ้านหรู เริ่มเคลื่อนไหวรับกับโมเมนต์ตัมจากการปลดล็อกให้ ต่างชาติมีสิทธิในที่ดิน 1 ไร่ โดย นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า ต้องปรับแผนธุรกิจในปีหน้าให้รับแนวนโยบายดังกล่าว เพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านลักชัวรีระดับ 30-100 ล้านบาทขึ้นไป มากขึ้น เน้นในทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ รามคำแหง เป็นต้น
อาทิเช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่โครงการ "นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา" มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท สร้างประวัติศาสตร์โครงการบ้านลักชัวรีระดับราคา 50-100 ล้านบาท ปิดการขายโครงการได้เร็วที่สุดภายใน 1 เดือน หรือ "เศรษฐสิริ-บุราสิริ" ระดับราคา 8-20 ล้านบาท มียอดขายล่าสุดกว่า 4,800 ล้านบาท เป็นต้น
บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กลยุทธ์จะเน้นพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี เพราะบริษัทยังมองว่ากลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ยังเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มองหาโอกาสในการซื้ออสังหาฯที่มีศักยภาพ ต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยครึ่งปีหลัง เปิดขาย 2 โครงการอสังหาฯระดับบน มูลค่ารวม 4,407 ล้านบาท รวมถึงโครงการในซีบีดี ที่ดินแปลงซอยคอนแวนต์ สีลม ตรงข้ามโรงพยาบาลบีเอ็นเอช พื้นที่ 1.5 ไร่ ในราคา 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา พัฒนาเป็นคอนโดฯหรู มูลค่า 3,900 ล้านบาท
กางข้อมูล '4 กลุ่มมั่งคั่ง' กว่าพันรายยื่นขอ LTR Visa
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถยื่นขอวีซ่าระยะยาว (Long-Term Resident Visa) หรือ"LTR Visa" ในประเทศไทยได้ข้อมูลล่าสุด จากการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้รายงานจำนวนของผู้ขอยื่นขอใบสมัคร LTR Visa ณ วันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,158 ราย
โดยแยกตาม 4 กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ดังนี้
1. กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง คือ มีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี และลงทุน ในไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนดอลลาร์ มีผู้ยื่นใบสมัครแล้ว 88 คน คิดเป็น 8%
2. ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ ในพันธบัตรรัฐบาลหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยมีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 430 คน คิดเป็น 37%
3.ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A โดยในกลุ่มนี้มีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 366 คน คิดเป็น 32%
4. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย ในกลุ่มนี้มีผู้สมัครมาแล้ว 160 คน คิดเป็น 14%
ที่เหลือเป็นการยื่นขอใบสมัครของคู่สมรส และบุตรของผู้ที่ต้องการทำงานและพำนักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย โดยมีคนที่ยื่นใบสมัครวีซ่าในส่วนนี้ 144 คน คิดเป็น 14% (ตาราง : ชาวต่างชาติ 5 อันดับแรก ที่ยื่นขอวีซ่าระยะยาว)
กรมที่ดิน แจงชัด ตั้งแต่ปี 45 มีได้สิทธิแค่ 8 ราย
ขณะที่ กรมที่ดิน ได้ออกเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับ ร่างกฎกระทรวง การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ซึ่งขณะนี้ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ยังต้องผ่านขั้นตอนการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน
"การให้สิทธิในการถือครองที่ดินจำกัดเฉพาะการใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยรายละไม่เกิน 1 ไร่ หากได้รับสิทธิครบ 1 ไร่แล้ว ต่อมาได้มีการขายที่ดินไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แม้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็จะไม่สามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวได้อีก ทั้งนี้ หากชาวต่างชาติรายใดไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้จัดการจำหน่ายที่ดินนั้นได้"
สำหรับข้อมูลคนต่างชาติที่ขอใช้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยตามกฎกระทรวง พ.ศ.2545 และยังใช้อยู่จนถึงขณะนี้มีจำนวนรวม 8 ราย โดยแต่ละรายใช้สิทธิไม่เกิน 1 ไร่
...สรุป แค่ยกแรกของการอนุมัติร่างกฎกระทรวงให้ต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ ก็เอาวุ่นวาย ไปทั่ว ฝ่ายเชียร์ ก็ลุยสุดลิ่ม ฝ่ายต้าน ก็พร้อมลงถนน แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องมองในหลักความเป็นจริงว่า ยังเป็นแค่รับร่างกฎกระทรวง ซึ่งต้องรอชมกันต่อไปว่า หน่วยงานอย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา "จะแทง" ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร และเมื่อ เข้าสู่ครม.แล้ว ก็ต้องวัดกันว่า "รัฐบาล" จะหยุด หรือ เดินหน้าต่อ แต่ทั้งหมด ต้องมอง 'ผลประโยชน์ของคนในชาติ' เป็นใหญ่ รวมถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ นั่นคือ คำตอบ ที่ต้องชัดเจน!
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ