กกร. บี้อีกลดราคาไฟต่ำ5บาท
Loading

กกร. บี้อีกลดราคาไฟต่ำ5บาท

วันที่ : 2 กุมภาพันธ์ 2566
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า จากการที่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดได้ประกาศแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกมาเป็นจำนวนมากเมื่อช่วงต้นปี 2566 จึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต้องมีการจัดซื้อที่ดินเตรียมไว้สำหรับพัฒนาโครงการตั้งแต่ปี 2564-2565 ไว้แล้ว
          ชี้ต้นทุนผลิตเปลี่ยน ทั้งค่า'ก๊าซ-ปริมาณ' เฮ'ดีเซล'ลดรอบ7ด. เอสเอ็มอีผวา6มรสุม

          กกร.รุกอีกช่วยลดการใช้ก๊าซแล้ว หั่นต้นทุนผลิตไฟฟ้าลงจี้กดค่าเอฟทีงวด พ.ค.-ส.ค.'ดีเซล'ลุ้นเฮลด 30 สต. ครั้งแรกรอบ 7 เดือน

          เอสเอ็มอีเผยความเสี่ยงธุรกิจ

          เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจผันผวนแปรปรวนรอบด้านกำลังรุมเร้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ภาครัฐต้องให้ความสำคัญและร่วมบริหารความเสี่ยงลดผลกระทบเชิงลบส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากในวงกว้าง ได้แก่ 1.ค่าเงินบาทผันผวน สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็ง กระทบกับเครื่องยนต์เศรษฐกิจในภาคการส่งออก แม้จะส่งผลบวกต่อภาคการนำเข้าก็ตาม การบริหารความเสี่ยงค่าเงินที่เหมาะสมจะสามารถประคองธุรกิจภาคการส่งออกให้ลดผล กระทบลงได้ แม้เอสเอ็มอีภาคการส่งออกจะมีเพียงราว 13% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด หรือประมาณ 1.093 ล้านล้านบาท จากมูลค่าส่งออกไทยทั้งหมด ปี 2565 มูลค่า 8.202 ล้านล้านบาท แต่ในยามฐานต้นทุนต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นล้วนส่งผลต่อทั้งรายได้และการทำกำไรลดลง ขณะที่มูลค่าการนำเข้าไทยปี 2565 สูงถึง 8.8 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ขาดดุลการค้าเกือบ 600,000 ล้านบาท 2.ค่าไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อภาคการอุตสาหกรรมสูงถึงกว่า 54% เอสเอ็มอีภาคการผลิตมีกว่า 523,327 ราย หรือสัดส่วน 16% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหมด ยังส่งผลต่อต้นทุนภาคการค้า 1,326,053 ราย คิดเป็น 42% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหมด ภาคบริการ 1,278,014 ราย คิดเป็น 40% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหมด สัดส่วนรวมกันภาคการค้าและบริการถึง 82% หรือประมาณ 2,614,067 ราย หรือ 98% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหมด หากไม่มีมาตรการระยะสั้นและระยะยาวบริหารแหล่งวัตถุดิบพลังงานต้นทุนต่ำ การจัดการต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานแต่ละส่วนอย่างเหมาะสมเป็นธรรมกับผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ประชาชน รวมทั้งมาตรการส่งเสริมพลังงาน สีเขียว พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคประชาชนสามารถลดต้นทุนได้ จะทำให้วิกฤตพลังงานเป็นกับดักของการฉุดขีดความสามารถของภาครัฐและภาคเอกชนทำให้สภาวะเศรษฐกิจถดถอยรวดเร็วยิ่งขึ้น

          จี้เร่งแก้กม.ค้ำประกันรายย่อย

          นายแสงชัยกล่าวว่า 3.ดอกเบี้ยขาขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาระบบธนาคารพาณิชย์แสดงถึงความแข็งแกร่งและพร้อมต้านทานวิกฤต มีขีดความสามารถบริหารต้นทุน ทำกำไรได้ในระดับดีเยี่ยมเป็นสิ่งที่ดี แต่ดอกเบี้ยนโยบายขยับ ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินในระบบสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ ต้องพึงระมัดระวัง ต้องมีกลไกแพลตฟอร์มทางการเงินต้นทุนต่ำเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อยให้เข้าถึงใช้ประโยชน์แหล่งทุนในระบบมากยิ่งขึ้น อาทิ กองทุนรัฐต่างๆ ต้องเร่งปรับแก้กฎหมาย บสย.ให้ค้ำประกันผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีใช้แหล่งทุนต้นทุนต่ำผ่านกองทุน แทนที่จะไปใช้แหล่งทุนดอกเบี้ยสูงถึง 28-34% ในระบบอื่น จากการสำรวจของ สสว.พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่กว่า 45.5% รับอัตราดอกเบี้ยได้ที่ 1-5% และ 44.3% รับอัตราดอกเบี้ยได้ที่ 6-8% ภาครัฐต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ยเอสเอ็มอีอย่างเร่งด่วนก่อนสายเกินแก้ 4.หนี้ครัวเรือน จากข้อ 1 ถึง 3 ล้วนส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมกับหนี้ครัวเรือน กระทบต่อขีดความสามารถการชำระหนี้และการบริหารหนี้ครัวเรือนที่มีคุณภาพ เพื่อลดหนี้เสียและหนี้นอกระบบที่จะตามมา การพัฒนาภาคประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งแรงงานให้มีทักษะทางการเงิน (Financial literacy) เป็นสิ่งเร่งด่วน ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง กลไกภาครัฐที่มีความพร้อมหลายหน่วยงานในการออกแบบมาตรการเชิงรุกนี้ หนี้ครัวเรือนเกือบ 90% ของจีดีพี ไม่มีปัญหา ถ้าเป็นหนี้มีคุณภาพ เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

          ถามท่องเที่ยวเอื้อศก.จริงหรือ

          นายแสงชัยกล่าวว่า 5.สถานการณ์ท่องเที่ยวเอื้อจริงหรือ ปี 2562 สัดส่วนจีดีพีภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 18% หรือมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท มีความสำคัญต่อการสร้างรายได้เศรษฐกิจฐานราก โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ขนส่ง ช้อปปิ้ง ธุรกิจบันเทิง เป็นต้น แม้ธุรกิจเครื่องยนต์เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาช่วงระยะเวลาเดียวกัน แต่ความพร้อมของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาคการท่องเที่ยว 4 ปัจจัยหลักที่นโยบายมาตรการภาครัฐต้องชัดเจนและเร่งด่วนคือ 1.บ่มเพาะขยับขีดความสามารถ การเพิ่มสมรรถนะ ทักษะใหม่ รีสกิล อัพสกิล ฟิวเจอร์สกิล ผู้ประกอบการและแรงงานภาคการท่องเที่ยวแบบคู่ขนาน ทั้งทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การตลาด การบริหารการจัดการดำเนินธุรกิจ และการวางแผนธุรกิจใหม่ เป็นต้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคท่องเที่ยว แรงงานภาคท่องเที่ยวเดิมปี 2562 มีถึง 4.366 ล้านคน หรือราว 12% ของการจ้างงานทั้งหมด อีกทั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมทางตรงของการท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงถึง 1,225,741 ล้านบาท ในปี 2562 คิดเป็น 7.25% ของจีดีพีประเทศ

          เร่งลดเหลื่อมล้ำการศึกษา

          นายแสงชัยกล่าวว่า ส่วนภาพรวมแรงงานไทย มีแรงงานนอกระบบสูงถึงกว่า 50% ทำอย่างไรให้จูงใจเข้าระบบเพื่อการพัฒนา แรงงาน 37.5 ล้านคน 57% ของประชากรทั้งประเทศ มีระดับการศึกษาประถมศึกษาและต่ำกว่าถึง 15.6 ล้านคน หรือ 42% และอีก 13.4 ล้านคน 36% มีระดับการศึกษามัธยมศึกษา มีเพียง 8.5 ล้านคน 23% เท่านั้นที่มีการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ความเหลื่อมล้ำการศึกษานี้ต้องเร่งลดช่องว่างพัฒนาทุนมนุษย์ให้เพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดย 2.จากข้อ 1 ต้องนำความรู้มาควบคู่แหล่งทุนต้นทุนต่ำ ฟื้นฟูกิจการภาคการท่องเที่ยว และซัพพลายเชนด้วยแหล่งทุนต้นทุนต่ำ โดยใช้ระบบกองทุนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ผลกระทบเกือบ 3 ปี กลับมารีสตาร์ตธุรกิจโฉมใหม่สามารถใช้ความสร้างสรรค์นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจเพิ่มขึ้นมุ่งการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและเชิงสุขภาพ และ 3.จากข้อ 1 และ 2 นำมาสู่การยกระดับมาตรฐานการให้บริการ สุขอนามัยสาธารณสุขไทยโดดเด่น ระบบความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมเมืองนวัตกรรมท่องเที่ยวอัจฉริยะ แบบเวิลด์คลาสการแบรนดิ้งมุ่งสร้างอัตลักษณ์ คุณค่าความไว้วางใจในการท่องเที่ยวเมืองไทยทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ 4.ภาครัฐต้องส่งเสริมแพลตฟอร์มดิจิทัลท่องเที่ยวไทยให้มีระบบนิเวศการท่องเที่ยวเชื่อมโยงทั้งจังหวัดหลัก จังหวัดรอง กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพื่อให้สามารถใช้ฐานข้อมูลภาคการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนารูปแบบนโยบายการส่งเสริม เงินรายได้อยู่ในประเทศไทย และลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจไทย

          เสนอเปลี่ยนสิทธิบัตรคนจน

          "6.เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชานิยมที่ดีแต่ไม่มีความยั่งยืน ควรเปลี่ยนแนวคิดนโยบายสาธารณะนี้ ในกลุ่มวัยแรงงานที่มีศักยภาพและสร้างความตระหนักพร้อมในการเปลี่ยนแปลง ต้องมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรมนุษย์ชายขอบ เปลี่ยนจาก รอ (ความช่วยเหลือ) รับ (เงิน) เป็น เร่ง (พัฒนา) รุก (สร้างงานสร้างอาชีพ) กล่าวคือกลุ่มแรก สร้างความเป็นผู้ประกอบการเริ่มต้นท้องถิ่นที่บ่มเพาะอาชีพหรือธุรกิจที่มีความต้องการภายในท้องถิ่น และมีทุนประเดิมเบื้องต้นเพื่อดำเนินกิจการแบบรายย่อย กลุ่มสองสร้างความพร้อมในการทำงาน บ่มเพาะทักษะที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นนั้น และเชื่อมโยงแรงงานกับผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ได้ทำงาน กลุ่มสาม สร้างจิตสำนึกบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ให้กับชุมชน ท้องถิ่น สังคมในรูปแบบต่างๆ ทดแทนแลกกับการรับเงินสวัสดิการ และสร้างคุณค่าแทนการให้เงินแบบเปล่า" นายแสงชัยกล่าว

          ศก.ดิจิทัลคือทางรอดเอสเอ็มอี

          นายแสงชัยกล่าวว่า ทางรอดเอสเอ็มอีคือ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการนำพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเปลี่ยนผ่านคลื่นเศรษฐกิจนวัตกรรมสู่ดิจิทัล และการสร้างความยั่งยืนด้วย บีซีจี D 5F กล่าวคือ เศรษฐกิจชีวภาพ ใช้ทรัพยากรทางชีวภาพมาผลิตผลิตภัณฑ์ บริการที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เศรษฐกิจหมุนเวียน มี 2 นัยคือ นัยแรกธุรกิจใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ บริการให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด มีการหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่อย่างเต็มวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ส่วนอีกนัยคือ การส่งเสริมธุรกิจ เอสเอ็มอี และรายใหญ่ไทยในประเทศผลิตสินค้าและบริการพึ่งพาทรัพยากร ส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น มุ่งเป้าใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากที่สุด เพื่อลดการนำเข้า ลดปัจจัยเสี่ยงความผันผวนของค่าเงินและการขาดดุลการค้าต่างประเทศ เศรษฐกิจสีเขียว มุ่งเน้นธุรกิจผลิตสินค้า บริการ กระบวนการ รูปแบบธุรกิจ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ต้องมุ่งพัฒนาการยกระดับขีดความสามารถ เอสเอ็มอีให้ตระหนัก เพิ่มทักษะการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อการบริหารบัญชีการเงิน การดำเนินธุรกิจ และการตลาดดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ ให้เข้าถึงง่าย ใช้งานเป็น มุ่งเน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ

          แนะต่อยอด5ซอฟต์เพาเวอร์

          นายแสงชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ 5F การนำจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจ 5F มาต่อยอดพัฒนาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากการส่งเสริมคุณค่าผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจซอฟต์เพาเวอร์ (Soft power) 1.Food อาหารไทย ศิลปะการประกอบอาหาร การคัดสรรเลือกใช้ส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นภายในประเทศ และมีอัตลักษณ์กรรมวิธีปรุง รสชาติที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างแตกต่าง 2.แฟชั่น แฟชั่นผ้าไทย เครื่องประดับ งานหัตถศิลป์ หัตถกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มจากการออกแบบลวดลายที่มีเอกลักษณ์วิจิตรบรรจงไทย การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพ พิถีพิถันในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนและสามารถเพิ่มมูลค่าส่งออกไทย 3.เฟสติวัล การจัดงานนิทรรศการ การแสดงศิลปะโดยการนำวัฒนธรรม ประเพณีไทยที่มีคุณค่า ถ่ายทอดเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการเติบโตภาคท่องเที่ยวในท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรม ประเพณีงดงามนั้นๆ ให้สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ 4.ไฟต์ กีฬาการต่อสู้ในรูปแบบมวยไทย สามารถสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่ม เผยแพร่มวยไทยสู่สากล และสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสมัยใหม่ที่ผสมผสานการกีฬาต่อสู้แบบไทย 5.ฟิล์ม ภาคธุรกิจบันเทิงไทยมีความแข็งแรงและสร้างสรรค์ รวมทั้งความพร้อมในการส่งออกภาพยนตร์ ละคร รายการเกมโชว์ บันเทิงต่างๆ เพื่อสามารถสร้างธุรกิจบันเทิงและต่อเนื่องให้เติบโตต่างประเทศได้ แต่ต้องสร้างแต้ม ต่อ เชื่อมโยงสนับสนุนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

          หวังแรงหนุนพรรคการเมือง

          "เป้าหมายไทยจะเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาทจากธุรกิจบีซีจีภายในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้นจาก 21% เป็น 24% ของจีดีพี บีซีจี จากผลการสำรวจของ สสว.พบว่าเอสเอ็มอีที่รู้จักและเข้าใจบีซีจีมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น และมูลค่าการเติบโต ดิจิทัล อีโคโนมีสัดส่วนจีดีพี 30% ภายในปี 2570 จากปัจจุบันธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ มีสัดส่วนอยู่ราว 25% ของจีดีพี

          "การมีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการทำให้บรรลุเป้าหมายของประเทศไทยร่วมกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง หลายเรื่องเรานำเสนอหน่วยงานและรัฐบาลมาตลอด เมื่อใกล้เลือกตั้ง ก็อยากให้พรรคการเมืองเห็นถึงปัญหาและข้อเสนอของเอสเอ็มอีโดยแท้จริง เรากังวลหนักขึ้นในตอนนี้คือปัญหาต่างๆ สะสมมานาน ไม่แค่ก่อหนี้สะสมให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก ระยะยาวการอยู่รอดของรายเล็กจะน้อยลง สวนทางกับรัฐเองต้องการสร้างธุรกิจขนาดเล็ก เชื่อว่าหลายพรรคการเมือง จะเห็นถึงปัญหาและข้อเสนอสมาคมอยากให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง" นายแสงชัยกล่าว

          บสย.ตั้งค้ำ1.2แสนล.อุ้มSME

          นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ปี 2566 บสย.ตั้งเป้ายอดค้ำประกันสินเชื่อ 1.2 แสนล้านบาท ผ่าน 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงินค้ำประกันระยะ 7 (บีไอ7) โครงการค้ำประกันสินเชื่ออาร์บีพี และ 2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะ 2 อีกทั้งเตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อพีจีเอส 10 และไมโครเอสเอ็มอี 5 อยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลังพิจารณา วงเงินที่ขอไป 1.8 แสนล้านบาท หากคลังเห็นชอบจะช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการค้ำประกันมากขึ้นกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยปี 2565 บสย.อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 1.43 แสนล้านบาท ช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ 8.27 หมื่นราย สร้างสินเชื่อในระบบ 1.57 แสนล้านบาท รักษาการจ้างงาน 1.04 ล้านราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 5.94 แสนล้านบาท

          "ดอกเบี้ยขึ้น คาดว่าไม่น่ามีผลกระทบต่อลูกค้าของ บสย. เนื่องจากโครงการค้ำประกันและมาตรการของ บสย. ส่วนใหญ่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เฉลี่ย 0-3% ต่อปี เท่านั้น อาทิ โครงการค้ำประกันซอฟต์โลน ดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี" นายสิทธิกรกล่าว

          กกร.คงเป้าศก.โต3-3.5%

          นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เปิดเผยว่า กกร.ได้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ระหว่าง 3-3.5% เป็นการคงประมาณการเดิมจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่คาดการการส่งออกขยายตัวอยู่ระหว่าง 1-2% และคาดการณ์เงินเฟ้อจะทยอยลดลงได้ในกรอบ 2.7-3.2% เป็นการคงประมาณการเดิมจากเดือนที่ผ่านมา การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ดัชนีทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งในฝั่งภาคการผลิตและภาคบริการกลับมาขยายตัวได้ในเดือนมกราคม โดยเฉพาะในภาคบริการสะท้อนการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน สอดคล้องกับการประเมินล่ำสุดของกองทุน การเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ 5.2% ในปี 2566 สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 4.4 ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต 2.9% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.7% คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ประกอบกับกิจกรรมการผลิตมีแนวโน้มฟื้นตัวจะช่วยพยุงภาคการส่งออกสินค้าในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง

          ผวาไฟแพง-ดบ.สูง-ขาดแรงงาน

          "ที่ประชุมห่วงใยต้นทุนการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องท่ามกลางค่าเงินบาทแข็งค่า อาจส่งผลกระทบขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคบริการก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ภาครัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้เพียงพอรองรับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังจากจีนเปิดประเทศ" นายเกรียงไกรกล่าว และว่า สืบเนื่องจากการหารือร่วมกับเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้า ที่ผ่านมาภาคเอกชนช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ ใช้พลังงานเชื้อเพลิงอื่นมาทดแทนไปส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อทำให้การคำนวณค่าเอฟทีรอบถัดไปมีอัตราลดลง ที่ประชุมมีความเห็นดังนี้ 1.กกร.เสนอให้ปรับลดค่าเอฟทีงวดที่ 2 เดือน พ.ค-ส.ค.66 เนื่องจากมีปัจจัยหนุนด้านการเพิ่มขึ้นของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ราคาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง 2.เห็นชอบจัดตั้ง กรอ.พลังงาน ให้สำนักงาน กกร.จัดทำโครงสร้างรูปแบบการทำงาน เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบเพื่อพิจารณาจัดตั้งต่อไปและระหว่างการจัดตั้ง กรอ.พลังงาน ขอให้มีคณะทำงาน Task Force ด้านพลังงาน (เฉพาะกิจ) เพื่อบูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหา สร้างความเข้าใจด้านพลังงาน รวมถึงหารือมาตรการระยะสั้น-กลาง-ยาว มีตัวแทน 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สำนักกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.)

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ภาคเอกชนอยากให้ค่าไฟงวดใหม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันเอกชนจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย

          สอท.จัดเวทีพรรคดีเบตปมศก.

          นายเกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งปี 2566 ส.อ.ท.จะจัดเวทีให้พรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมเสนอนโยบายแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อประชาชนตัดสินใจว่าจะเลือกการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพรรคใด ขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปการจัดงาน คาดว่าจะดำเนินการก่อนมีนาคม 2566 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 คณะทำงานของ ส.อ.ท.หารือร่วมการจัดงานดังกล่าว ได้ข้อสรุป 5 ประเด็นหลักปัญหา จุดอ่อนของธุรกิจเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจอยากให้พรรคการเมืองร่วมส่งแผนนโยบายและวิธีแก้ไขอย่างเป็นระบบ ได้แก่ 1.ต้นทุนด้านวัตถุดิบ 2.ต้นทุนด้านค่าแรงงาน 3.ต้นทุนด้านการเงิน (ดอกเบี้ย) 4.ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และ 5.ต้นทุนด้านพลังงาน จะรวบรวมพรรคการเมืองทุกพรรค วันจัดงานช่วงเช้าจะเป็นการนำเสนอแผนนโยบาย ให้หัวหน้าพรรค (แคนดิเดต) หรือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจขึ้นนำเสนอ หรือสรุปแผนที่ได้จัดทำ ช่วงบ่ายจะดีเบตของหัวหน้าพรรค (แคนดิเดต) หรือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถกปัญหาในประเด็นต่างๆ ร่วมกัน

          "ไม่ได้กำหนดว่าแต่ละพรรคจะนำเสนอครบทุก 5 ประเด็น แต่เป็นโอกาสที่พรรคจะนำเสนอนโยบาย หากทำได้ทุกด้านเป็นประโยชน์พรรคการเมืองสื่อสารกับประชาชนรับรู้อย่างครบถ้วนที่สุด" นายเกรียงไกรกล่าว

          ออมสินปรับขึ้นดอกเบี้ย

          นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี เมื่อ 25 มกราคม 2566 ธนาคารออมสินจึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.30% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทในอัตรา 0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยของตลาด เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งแรกของธนาคารในรอบกว่า 2 ปี หรือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา ตามนโยบายของกระทรวงการคลังช่วยดูแลลูกค้าและประชาชนกลุ่มเปราะบาง

          ซื้อขายที่ดินพุ่ง1.55ล้านไร่

          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าทั่วประเทศในปี 2565 พบว่าโดยรวมมีจำนวนที่ดินเปล่าที่มีการโอนกรรมสิทธิ์กว่า 1.55 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.65% มีมูลค่าถึง 699,496 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน -4.82% แยกเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 69,383 ไร่ เพิ่มขึ้น 21.84% มีมูลค่า 283,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.75% และส่วนภูมิภาคกว่า 1.48 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 18.5% มีมูลค่า 415,891 ล้านบาท ลดลง -16.51% หากพิจารณาในภาพของทิศทางภาวะการซื้อขายที่ดินเปล่าทั่วประเทศ ข้อมูลได้แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายที่ดินเปล่ามีทิศทางแสดงการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 อย่างชัดเจน ทั้งจำนวนพื้นที่และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงกว่าปี 2563 เป็นปีแรกมีการระบาดของโควิด-19 ถึง 6.05% และ 42.36% ตามลำดับ และสอดคล้องกับทิศทางของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลมีการฟื้นตัวเร็วกว่าในพื้นที่ภูมิภาค จึงทำให้มีการขยายตัวของจำนวนพื้นที่และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯและปริมณฑลปี 2565 ขยายตัวสูงถึง 21.84% และ 19.75% เมื่อเทียบกับปีก่อน

          ขายหนีภาษี-อสังหาฯซื้อตุน

          "เป็นผลมาจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และประชาชนทั่วไปมีการสะสมที่ดินเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากภาพรวมราคาที่ดินช่วงปี 2563-2565 ยังไม่ปรับตัวมากนัก ประกอบกับเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ได้ปล่อยที่ดินเปล่าออกขายในตลาดมากขึ้น เพราะไม่ต้องการมีภาระต้องจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากการถือครองที่ดินว่างเปล่าในปี 2565 และปีต่อๆ ไป" นายวิชัยกล่าว

          นายวิชัยกล่าวว่า อีกทั้งจากการที่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดได้ประกาศแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกมาเป็นจำนวนมากเมื่อช่วงต้นปี 2566 จึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต้องมีการจัดซื้อที่ดินเตรียมไว้สำหรับพัฒนาโครงการตั้งแต่ปี 2564-2565 ไว้แล้ว รวมถึงผู้ประกอบการยังคงเชื่อมั่นว่าการที่ประเทศจีน มีนโยบายเปิดประเทศให้คนจีนสามารถเดินทางออกมาท่องเที่ยวในต่างประเทศได้ก็เป็นความคาดหวังให้แก่ผู้ประกอบการว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 ดังนั้น การซื้อขายและการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าน่าจะมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 อย่างแน่นอนในปี 2566

          หินดินทรายขาด-ราคาพุ่ง

          นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติห้ามส่งออกทรายธรรมชาติทุกชนิด เพื่อสงวนใช้ในอุตสาหกรรมในประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องดี จะปลดล็อกเรื่องการขาดแคลนได้ เนื่องจากปัจจุบันวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหิน ดิน ทราย ใช้สำหรับการก่อสร้าง ปรับราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากปัจจัยหายากขึ้นและต้องขออนุญาตการดูดทรายและระเบิดหินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เวลานาน ขณะที่ปัจจุบันความต้องการใช้ก็เพิ่มขึ้นจากงานก่อสร้างมากขึ้น ทั้งโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและโครงการของเอกชน เนื่องจากทั้งทรายและหินเป็นส่วนประกอบของงานก่อสร้างทุกอย่าง ไม่ว่าโครงการสาธารณูปโภค ถนน อาคาร บ้าน คอนโดมิเนียม

          จี้นำเข้าแรงงานแก้ขาดแคลน

          นายอิสระกล่าวว่า สำหรับการปรับขึ้นค่าแรง 17 วิชาชีพ เป็นเริ่มต้นที่ 465-715 บาท ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เห็นด้วยที่ปรับขึ้นเพราะเป็นวิชาชีพเฉพาะ แต่ไม่เห็นด้วยจะปรับค่าแรงขั้นต่ำที่พรรคการเมืองเดินทางหาเสียงมีนโยบายปรับขึ้นเป็น 600-700 บาท เพราะไม่ทำให้เกิดการพัฒนาฝีมือแรงงาน อยากให้รัฐมีศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกระจายทั่วภูมิภาค

          "ขณะนี้อุตสาหกรรมก่อสร้างยังขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐจะผ่อนปรนให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาได้ก็ตาม แต่ประเทศต้นทางยังมีปัญหาภายใน ทำให้การนำเข้าจึงยังไม่ง่าย ได้ยื่นเสนอต่อกระทรวงแรงงานให้นำเข้าแรงงานฝีมือจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น จากเดิมมีแค่ลาว กัมพูชา เมียนมา เป็นนำเข้าจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ได้ เพราะแรงงานฝีมือขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้ เช่น ช่างทาสี ค่าแรงจะอยู่ที่ 500-600 บาท หากผ่อนปรนได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ" นายอิสระกล่าว และว่าผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี ทุกแบงก์ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ทำให้บรรยากาศการขายและการโอนบ้านและคอนโดมิเนียมเริ่มชะลอตัว เนื่องจากลูกค้ามีความกังวล รอดูอัตราดอกเบี้ยจากแบงก์ กังวลว่าจะกู้ได้หรือไม่ ช่วงที่ผ่านมาเมื่อดอกเบี้ยขึ้น ผู้ประกอบการจะมีแคมเปญอัตราดอกเบี้ยคงที่ 1-2 ปี คาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีหลายบริษัทออกมาทำโปรโมชั่น

          พณ.แจงห้ามส่งออกหินทราย

          นายธัชชญาน์พล อภิมนต์เตชบุตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงขั้นตอนหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา อนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ทรายเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอนั้น หลัง ครม.เห็นชอบ จะทำหนังสือเวียนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี ก่อนส่งกลับมากระทรวงพาณิชย์ และลงราชกิจจานุเบกษา เพื่อประกาศใช้ทุกขั้นตอนคาดแล้วเสร็จภายใน 180 วัน และมีผลบังคับใช้ภายในปี 2566 จุดประสงค์การยกร่างฯเพื่อเป็นการสงวนทรายทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญไว้ใช้กับอุตสาหกรรมในประเทศ ลดปัญหาต่างๆ เช่น ลดปัญหาตลิ่งพัง ลดปัญหาทรายใช้ในประเทศไม่เพียงพอ รวมถึงเพิ่มความชัดเจนในการส่งออกทรายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานมา

          "เมื่อออกประกาศแล้วจะเป็นการห้ามส่งออกทรายทุกชนิด ยกเว้นกรณีส่งออกเป็นตัวอย่าง หรือศึกษาวิจัย หรือกรณีนำติดตัวออกไป เพื่อใช้เฉพาะตัวในปริมาณไม่เกิน 2 กิโลกรัม หรือ 2.2 กรณียานพาหนะนำออกไปเพื่อใช้ในยานพาหนะนั้นๆ ให้ปริมาณเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวข้อง อาทิ เอาไว้ถ่วงสมดุลเรือและการป้องกันอัคคีภัยในเรือ ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล ค.ศ.1974" นายธัชชญาน์พลกล่าว

          ให้ส่งออกได้เฉพาะบางกรณี

          นายธัชชญาน์พลกล่าวว่า แต่เดิมทรายเป็นสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า ประเทศหลักค้าขายกับไทย คือ ลาว อินเดีย กัมพูชา มาเลเซีย จีน เป็นต้น โดยสถิติย้อนหลัง 5 ปี นับจากปี 2560 พบว่าการส่งออกทรายจากไทยลดลงต่อเนื่องโดยปี 2565 ไทยส่งออก 861 ตันมูลค่า 17 ล้านบาท โดย 3 ประเทศหลักคือ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ขณะเดียวกันไทยนำเข้าทรายเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2565 นำเข้า 1,817 ตัน  มูลค่า 1,326 ล้านบาท โดยนำเข้าหลักจาก จีน ออสเตรเลีย และลาว นอกจากสินค้าทรายแล้ว ตอนนี้กรมอยู่ระหว่างปรับปรุงกำหนดความชัดเจนกำหนดพิกัดเพื่อการส่งออก ปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความต้องการใช้ในประเทศ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ เช่น ไม้ เศษพลาสติก เป็นต้น ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้มีสาระสำคัญปรับปรุงมาตรการควบคุมการส่งออกทราย และยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ที่มีทรายเป็นส่วนประกอบ ปรับปรุง ดังนี้ 1.กำหนดให้ทรายตามพิกัดศุลกากรประเภท 25.05 เป็นทรายธรรมชาติทุกชนิด จะแต่งสีหรือไม่ก็ตาม ยกเว้นทรายมีโลหะปน ให้เป็นสินค้าห้ามส่งออก ไม่ได้กำหนดค่าซิลิกาออกไซด์ไว้ (จากเดิมกำหนดให้ทรายธรรมชาติทุกชนิดที่มีซิลิกาออกไซด์เกินกว่าร้อยละ 75 เป็นสินค้าห้ามส่งออก) ได้แก่ 1.1 ทรายซิลิกา และทรายควอตซ์ ทรายซิลิกาเป็นทรายใช้ในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ พบมากบริเวณหาดทราย ชายทะเล ใช้สำหรับในงานอุตสาหกรรมแก้ว กระจก เซรามิก ส่วนทรายควอตซ์เป็นทรายซิลิกามีคุณภาพสูง ทนความร้อนได้สูง มีความแข็งแรงใช้ในงานอุตสาหกรรมทนไฟ กรองน้ำ ทำพื้นทนแรงกระแทกได้ดี ใช้ผสมกับเรซิ่น-อีพ็อกซี่ เพื่อเสริมความแข็งแรง และ 1.2 ทรายอื่นๆ และ 2.ยกเว้นการส่งออกทรายในกรณี ดังนี้ 2.1 กรณีส่งออกเป็นตัวอย่าง หรือศึกษาวิจัย หรือกรณีนำติดตัวออกไป เพื่อใช้เฉพาะตัวในปริมาณไม่เกิน 2 กิโลกรัม หรือ 2.2 กรณียานพาหนะนำออกไปเพื่อใช้ในยานพาหนะนั้นๆ ให้ปริมาณเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง อาทิ เอาไว้ถ่วงสมดุลเรือ และการป้องกันอัคคีภัยในเรือ ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล ค.ศ.1974

          เบนซินลง2วันติดรวม70สต.

          รายงานข่าวจากสถานีบริการ พีทีทีสเตชั่น และบางจาก แจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดลง 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นและดีเซลคงเดิม มีผล 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 05.00 น. ราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ เบนซิน = 43.76 (เฉพาะพีทีทีฯ), แก๊ส โซฮอล์95 = 35.95, อี20 = 34.04, แก๊สโซฮอล์91 = 35.68, อี85 = 34.49, ดีเซลบี7 = 34.94, ดีเซลบี10 = 34.94, ดีเซลบี20 = 34.94 พรีเมียม GSH95 = 42.14 (เฉพาะพีทีทีฯ) และ Hi Premium 97 (GSH95++) 43.64 (เฉพาะบางจากฯ) ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร ราคาน้ำมันลดลงมาจากน้ำมันเบนซินตลาดสิงคโปร์ร่วงกว่า 2 เหรียญ แม้อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐปรับเพิ่ม ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เป็นการลด 2 วันติด หลังจากเมื่อวันที่ 31 มกราคม ประกาศลดเฉพาะกลุ่มแก๊สโซฮอล์ 0.40 บาทต่อลิตร มีผลวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวม 2 วันลดราคา 0.70 บาทต่อลิตร

          ลุ้นดีเซลลงหลังคลังกดดัน

          รายงานข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) แจ้งว่า วันที่ 2 กุมภาพันธ์ นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการ สกนช. จะแถลงข่าวการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารบี กระทรวงพลังงาน คาดว่าจะประกาศลดราคาน้ำมันดีเซลลงตามนโยบายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หลังตรึงที่ระดับ 34.94 บาทต่อลิตร มาตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2565 หรือในรอบกว่า 7 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มลดลงส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯสามารถจัดเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯได้ลิตรละ 5.19 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มผ่อนคลายลง ณ วันที่ 22 มกราคม 2566 ติดลบอยู่ที่ 114,411 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันลบ 69,448 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีลบ 44,963 ล้านบาท ระดับที่ลดลงคาดว่าจะไม่มากหลักสิบสตางค์ต่อลิตร และไม่น่าต่ำกว่า 30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อไม่ให้กองทุนฯขาดรายได้ มีความเสี่ยงเกินไป เพราะราคาน้ำมันแม้ผ่อนคลายขาลงแต่ยังมีความผันผวนอยู่ อีกสาเหตุต้องลดราคาดีเซลลง มาจากข้อเรียกร้องจากกระทรวงการคลัง เรียกร้องให้กระทรวงพลังงานลดราคาดีเซลลง หลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ลิตรละ 5 บาท เป็นเวลา 4 เดือน มีผล 21 มกราคม-20 พฤษภาคม 2566 ภาษีที่ลดลงกระทรวงการคลังมองว่าอยากให้ส่งตรงถึงผู้ใช้น้ำมันด้วย
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ