แลนด์แอนด์เฮ้าส์ - แสนสิริ ครองแชมป์กำไรปี65
Loading

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ - แสนสิริ ครองแชมป์กำไรปี65

วันที่ : 2 มีนาคม 2566
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) คาดการณ์ว่าอุปทานจะมีสภาวะทรงตัวถึงชะลอเล็กน้อย เนื่องจากได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 ตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้เชื่อว่ายังคงทรงตัวและเป็นช่วงเวลาของการฟื้นตัวให้แข็งแรง เพื่อที่จะขยายตัวได้ดีในปี 2567
           นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า คาดการณ์ปี 2566 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจ และก็ยังมี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือ ทั้งทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงตาม ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

          ในส่วนของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 บริษัทที่ทำกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก สามารถทำกำไรรวมได้เกือบ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 28.3% โดยบริษัทที่คว้าแชมป์กำไรสูงสุดคือ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ บริษัทที่มีอัตรากำไรเติบโตสูงสุดคือ แสนสิริ บริษัทที่คว้าแชมป์รายได้และอัตราการเติบโตสูงสุดคือ เอพี ไทยเลนด์ และบริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราสูงสุดคือ แสนสิริ

          "ตัวเลขอสังหาริมทรัพย์นี้จะเป็นสัญญาณการพลิกฟื้นตัวที่รวดเร็วของอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าติดตาม ขณะที่ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) คาดการณ์ว่าอุปทานจะมีสภาวะทรงตัวถึงชะลอเล็กน้อย เนื่องจากได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 ตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้เชื่อว่ายังคงทรงตัวและเป็นช่วงเวลาของการฟื้นตัวให้แข็งแรง เพื่อที่จะขยายตัวได้ดีในปี 2567"

          นายประพันธ์ ศักดิ์รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอมแอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) กล่าวว่าปีที่ผ่านมา 37 บริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีรายได้รวม 334,267.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.05% มีกำไรสุทธิรวม 44,421.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.94% และยังพบว่าความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยดีขึ้นมาอยู่ที่ 13.28% เพิ่มขึ้นจาก 11.57% ในปี 2564

          โดย 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุด พบว่ามีรายได้ รวมกัน 252,092.14 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75.14% และมีกำไรสุทธิรวม 41,850.30 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 94.21% ของกำไรสุทธิรวมทั้ง 37 บริษัท