ตะลึง! ต่างชาติแห่ซื้อคอนโดฯ
วันที่ : 28 มีนาคม 2566
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า ปี 65 จะพบว่า ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดทั่วประเทศมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 5,707 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 49.4% ของหน่วยทั้งหมด
จีน-รัสเซียนำทัพเฉียด6หมื่นล.
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 65 มีการโอนทั้งสิ้น 3,780 หน่วย เพิ่ม 82.3% สูงสุดในรอบ 4 ปีนับจากปี 62 โดยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ 19,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.8% ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส หรือ 5 ปี นับจากปี 61 และยังเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ฯ ในช่วง 2 ปี ที่มีการแพร่ระบาดโควิด
ทั้งนี้หากพิจารณาในภาวะการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมในปี 65 พบว่ามี 11,561 หน่วย เพิ่มขึ้น 41% รวมเป็นมูลค่า 59,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.2% มีพื้นที่โอนกรรมสิทธิ์รวม 530,430 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 49.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในปี 65 ที่ผ่านมาแล้วนั้นน่าจะแสดงให้เห็นได้ว่า ตลาดห้องชุดคนต่างชาติในภาพรวมมีทิศทางที่น่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว และการซื้อห้องชุดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ ผู้ซื้อชาวจีน
"ปี 65 จะพบว่า ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดทั่วประเทศมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 5,707 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 49.4% ของหน่วยทั้งหมด โดยมี 4 สัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์อันดับรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย 813 หน่วย สหรัฐอเมริกา 542 หน่วย สหราชอาณาจักร 393 หน่วย และ ฝรั่งเศส 351 หน่วย"
ขณะที่จังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 5,260 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 45.5% และชลบุรี 3,567 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30.9%
ขณะที่สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 65 ของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนถึง 184,524 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.8% มูลค่าสูงถึง 916,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% โดยมีสาเหตุจากมีโครงการใหม่เข้ามาถึง 205,806 หน่วย มูลค่า 1 ล้านล้านบาท แต่กำลังซื้อยังค่อนข้างทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสาม ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยมีค้างสต๊อกเพิ่มมากขึ้น
สำหรับทำเลที่มีโครงการคอนโดฯ เหลือขายสูงสุด คือ ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 9,403 หน่วย มูลค่า 37,532 ล้านบาท รองลงมาคือ ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,645 หน่วย มูลค่า 24,894 ล้านบาท ส่วนอันดับ 3 คือ ทำเล ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด 8,445 หน่วย มูลค่า 26,998 ล้านบาท อันดับ 4 คือ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 7,202 หน่วย มูลค่า 62,460 ล้านบาท และสุดท้าย ทำเลเมืองนนทบุรีปากเกร็ด จำนวน 6,717 หน่วย มูลค่า 15,825 ล้านบาท
ส่วนโครงการบ้านจัดสรรทำเลที่เหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 19,090 หน่วย มูลค่า 11,367 ล้านบาท 2.ทำเลบางใหญ่-บางบัวทองบางกรวย-ไทรน้อย 17,983 หน่วย มูลค่า 84,644 ล้านบาท 3.ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 14,714 หน่วย มูลค่า 55,744 ล้านบาท 4. ทำเลคลองหลวง-หนองเสือจำนวน 11,108 หน่วย มูลค่า 41,983 ล้านบาท 5.เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคกจำนวน 11,036 หน่วย มูลค่า 44,479 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากการซื้อทุกระดับราคา พบว่าในไตรมาส 4 ปี 65 ยังคงทรงตัวที่ 3.4%
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 65 มีการโอนทั้งสิ้น 3,780 หน่วย เพิ่ม 82.3% สูงสุดในรอบ 4 ปีนับจากปี 62 โดยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ 19,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.8% ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส หรือ 5 ปี นับจากปี 61 และยังเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ฯ ในช่วง 2 ปี ที่มีการแพร่ระบาดโควิด
ทั้งนี้หากพิจารณาในภาวะการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมในปี 65 พบว่ามี 11,561 หน่วย เพิ่มขึ้น 41% รวมเป็นมูลค่า 59,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.2% มีพื้นที่โอนกรรมสิทธิ์รวม 530,430 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 49.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในปี 65 ที่ผ่านมาแล้วนั้นน่าจะแสดงให้เห็นได้ว่า ตลาดห้องชุดคนต่างชาติในภาพรวมมีทิศทางที่น่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว และการซื้อห้องชุดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ ผู้ซื้อชาวจีน
"ปี 65 จะพบว่า ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดทั่วประเทศมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 5,707 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 49.4% ของหน่วยทั้งหมด โดยมี 4 สัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์อันดับรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย 813 หน่วย สหรัฐอเมริกา 542 หน่วย สหราชอาณาจักร 393 หน่วย และ ฝรั่งเศส 351 หน่วย"
ขณะที่จังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 5,260 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 45.5% และชลบุรี 3,567 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30.9%
ขณะที่สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 65 ของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนถึง 184,524 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.8% มูลค่าสูงถึง 916,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% โดยมีสาเหตุจากมีโครงการใหม่เข้ามาถึง 205,806 หน่วย มูลค่า 1 ล้านล้านบาท แต่กำลังซื้อยังค่อนข้างทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสาม ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยมีค้างสต๊อกเพิ่มมากขึ้น
สำหรับทำเลที่มีโครงการคอนโดฯ เหลือขายสูงสุด คือ ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 9,403 หน่วย มูลค่า 37,532 ล้านบาท รองลงมาคือ ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,645 หน่วย มูลค่า 24,894 ล้านบาท ส่วนอันดับ 3 คือ ทำเล ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด 8,445 หน่วย มูลค่า 26,998 ล้านบาท อันดับ 4 คือ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 7,202 หน่วย มูลค่า 62,460 ล้านบาท และสุดท้าย ทำเลเมืองนนทบุรีปากเกร็ด จำนวน 6,717 หน่วย มูลค่า 15,825 ล้านบาท
ส่วนโครงการบ้านจัดสรรทำเลที่เหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 19,090 หน่วย มูลค่า 11,367 ล้านบาท 2.ทำเลบางใหญ่-บางบัวทองบางกรวย-ไทรน้อย 17,983 หน่วย มูลค่า 84,644 ล้านบาท 3.ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 14,714 หน่วย มูลค่า 55,744 ล้านบาท 4. ทำเลคลองหลวง-หนองเสือจำนวน 11,108 หน่วย มูลค่า 41,983 ล้านบาท 5.เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคกจำนวน 11,036 หน่วย มูลค่า 44,479 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากการซื้อทุกระดับราคา พบว่าในไตรมาส 4 ปี 65 ยังคงทรงตัวที่ 3.4%
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ