นายแบงก์หนุนลดดอกเบี้ย อสังหา - SME เฮลดภาระหนี้
Loading

นายแบงก์หนุนลดดอกเบี้ย อสังหา - SME เฮลดภาระหนี้

วันที่ : 27 เมษายน 2567
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดดอกเบี้ย 0.25% รอบนี้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่จ่ายดอกเบี้ย เรต MRR เป็นการช่วยลดภาระจ่ายงวดเงินกู้ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย โดยเฉพาะสินเชื่อเก่าได้อานิสงส์เต็ม ๆ
         แบงก์-เอกชนขานรับนโยบาย นายกฯเศรษฐา  7 แบงก์รัฐ ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ ลดดอกเบี้ยกู้ MRR 0.25% สมาคมธนาคารเร่งกำหนดคำนิยม "กลุ่มเปราะบาง" สมาพันธ์เอสเอ็มอีชี้เดินมาถูกทาง ชง 4 แนวทางช่วยลดดอกเบี้ยเห็นผลเต็ม 100% ขยายผลอุ้มพิโก ไฟแนนซ์ ด้านสมาคมคอนโดศุภาลัยชี้ปลุกมู้ด 2 ไตรมาส ลดภาระผ่อนงวดละ 2% ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยนาทีทองคนซื้อบ้าน

         หลังจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เรียกผู้บริหาร 4 ธนาคารใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย หารือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

         ล่าสุด นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมธนาคารไทย (TBA) ได้เห็นถึงความจำเป็นในการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ในระหว่างที่เศรษฐกิจยังฟ้นตัวไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และมีโอกาสฟ้นตัว ปรับตัว

         รายได้ไม่เกิน 3 หมื่นเข้าเกณฑ์

         แหล่งข่าวจากสถาบันการเงิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ไม่ได้เป็นการปรับลดดอกเบี้ยทั้งกระดาน แต่จะมีเป็นการกำหนดนิยามลูกค้ากลุ่มเปราะบางเพื่อช่วยเหลือ เบื้องต้นกลุ่มลูกค้าบุคคลจะเป็นลูกค้ากลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ผู้กู้มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อเดือน วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 2 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอี อยู่ระหว่างการ หารือนิยามกลุ่มเปราะบางจะต้องมีลักษณะอย่างไร เบื้องต้นจะเป็นกลุ่มที่มี รายได้ 2 แสนบาทต่อเดือน วงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี เป็นต้น

         "แนวทางที่สมาคมออกมาเป็นการเห็นชอบร่วมกันในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง แต่การดำเนินการแต่ละธนาคารจะไปดำเนินการกันเอง ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความพร้อมแต่ละธนาคาร คาดว่าอย่างเร็วจะสามารถเริ่มได้ภายในกลางเดือนพฤษภาคม หรืออย่างช้าน่าจะต้นเดือนมิถุนายน"

         7 แบงก์รัฐลด ดบ.กู้ 0.25%

         นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการสมาคม เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ที่ประชุมมีมติร่วมกันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเปราะบางตาม นโยบายรัฐบาล โดยธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมถึงธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ร่วมกันลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับลูกค้ารายย่อยทุกกลุ่มลง 0.25% เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2567 เป็นระยะเวลา 6 เดือน

         ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ร่วมลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางลง 0.25% เป็นระยะเวลา 6 เดือนด้วยเช่นกัน หลังจากได้มีการพักชำระหนี้เกษตรกรไปแล้วก่อนหน้านี้

         พอร์ตที่อยู่อาศัยสูงสุด

         นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวในเรื่องนี้ว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารค่อนข้างจำกัด คือ 1.ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนสินเชื่อ (Loan Yield) ของกลุ่มธนาคารลดลงไม่เกิน 5 bps ในปี 2567 โดยปกติ MRR จะเป็นดอกเบี้ยคิดกับลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย และ SMEs ขนาดเล็ก ดังนั้น กลุ่ม SMEs ขนาดกลางและใหญ่ และบรรษัทขนาดใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ 2.ทำให้เกิดความชัดเจนต่อตลาดว่าธนาคารได้ตอบรับสิ่งที่รัฐบาลร้องขอแล้ว และเน้นจะช่วยเหลือลูกค้าเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และจำกัดเวลาเพื่อไม่ให้เสียกลไกตลาดมากเกินไป

         3.อาจช่วยลดแรงกดดันต่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน มิ.ย. 2567 ได้ หากสถานการณ์ภายนอกยังกดดัน เช่น สงครามกระทบต่อราคาพลังงานสูงขึ้น และการขนส่งต่าง ๆ จนกดดันเงินเฟ้อสูงขึ้น และเศรษฐกิจไทยเติบโตได้จากระดับดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 2.50% ก็อาจจะทำให้ กนง.คงดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย.ได้ และ 4.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จะได้รับผลกระทบสูงสุด เพราะมีพอร์ต สินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ 7.7 แสนล้านบาท (31% ของสินเชื่อรวม) รองลงมาเป็น KTB มูลค่า 4.9 แสนล้านบาท (18.6% ของสินเชื่อรวม) และ KBANK ราว 4.3 แสนล้านบาท (17% ของสินเชื่อรวม) ทำให้จะเป็น 3 แบงก์ใหญ่ที่อาจจะมีกระทบจากมาตรการนี้มากที่สุด แต่เชื่อว่าแบงก์เองก็มีวิธีในการจัดการได้ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งในด้านบวก ก็อาจจะไปกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสถัดไปได้ และก็อาจจะเป็นการทำให้มองเรื่องของ Credit Quality ดีขึ้น แบงก์อาจจะมีการปรับลดสำรองลงได้

         สมาพันธ์ SME ชง 4 แนวทาง

         นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย แสดงความเห็นว่า มาตรการดังกล่าวถือว่าได้ช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ให้ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอีที่เป็นกลุ่มเปราะบางได้ต่อลมหายใจ อย่างไรก็ตาม สมาพันธ์ขอเสนอประเด็นสำคัญ 3-4 ประเด็น เพื่อให้เกิดประสิทธิผลเต็ม 100% คือ 1) การกำหนดนิยาม SMEs กับกลุ่มเปราะบางของแต่ละธนาคาร ซึ่งสมาคมมองว่ากลุ่มเปราะบางจริง ๆ แล้วไปอยู่ในกลุ่มของพวกพิโกไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซ์ กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลอื่น ๆ ค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นการกำหนดนิยามของ SMEs กับกลุ่มเปราะบางจะต้องมีความชัดเจน 2) มาตรการนี้ควรมีตัวชี้วัด ที่วางเป้าหมายจำนวนรายหรือวงเงินให้ชัดเจนว่าแต่ละแบงก์จะให้ความช่วยเหลืออย่างไร

         3) ควรดำเนินการคู่ขนาน โดยสมาพันธ์ เห็นว่า ธปท.ควรมีบทบาทสำคัญที่จะเข้ามาช่วยปรับลดเพดานดอกเบี้ยระหว่างสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตอีกด้านหนึ่งด้วย เพราะปัจจุบันเอสเอ็มอีเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนจำนวนมาก จึงได้กระจายไปใช้สินเชื่อแต่ละประเทศ ซึ่งมีหลักเกณฑ์การพิจารณาเหมือนกัน แต่อัตราดอกเบี้ยต่างกันอย่างมีนัย และ 4) การเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SMEs รายใหม่ หรือรายที่มีความต้องการสภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจ เป็นสิ่งที่สำคัญ สมาคมอยากให้มองถึงแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ว่า หมายความว่าลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดีที่กู้อยู่แล้ว หรือจะให้กับผู้ขอสินเชื่อรายใหม่ลดให้กลุ่มนี้ด้วยหรือไม่

         "มาตรการลดดอกเบี้ยดังกล่าว หากเริ่มบังคับใช้เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะมีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยดีขึ้น เพราะในทางอ้อมเป็นการลดภาระซึ่งจะไปเสริมกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 ที่จะออกมากระตุ้นโครงการลงทุนภาครัฐ ทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น ในไตรมาส 3 และจะดีเต็มที่ในไตรมาส 4 ซึ่งจะมีปัจจัยหนุนเพิ่มทั้งงบประมาณปี 2568 ที่จะเริ่มออกมาเพิ่ม และการดำเนินมาตรการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ซึ่งจะ ช่วยผลักดันจีดีพีปี 2567 อีก 0.3-0.5% ทั้งปี 2567 มีโอกาสโตถึง 3% อย่างไรก็ตาม ต้องขอโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการที่จะเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเลตด้วย"

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% ต่อปี มีผล ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2567 เป็นระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ธนาคารกรุงเทพยังมี โครงการช่วยเหลือลูกค้า SMEs ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษภายใต้โครงการ "สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ" วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี

         เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในการฟ้นฟูธุรกิจและปรับตัวเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน (1 กุมภาพันธ์ 2567-31 มกราคม 2568)

         ปลุกมู้ดกำลังซื้อ 2 ไตรมาส

         นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การลดดอกเบี้ยผู้กู้รายย่อย หรือ MRR 0.25% ครั้งนี้ เป็นตัวช่วยลูกค้าสินเชื่ออสังหาฯ ได้ทางอ้อม และช่วยได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าสินเชื่อบ้านที่ผ่อนมานานแล้ว จะได้รับประโยชน์โดยตรง ส่วนลูกค้าสินเชื่อใหม่มีดอกเบี้ย โปรโมชั่น 3 ปีแรกของธนาคาร ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้น กลุ่มนี้อาจต้องทำแคมเปญโปรโมชั่นเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือทางอ้อม

         นายพีระพงศ์กล่าวว่า ในส่วนของ โปรโมชั่นอสังหาฯ จากการลดดอกเบี้ย MRR 0.25% ครั้งนี้ ในเมื่อแบงก์พาณิชย์ช่วยมาแล้ว ดีเวลอปเปอร์ก็ต้องมาคิดโจทย์ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อผู้บริโภคอสังหาฯ ต่อไปสำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้บ้าน เพื่อสนองความพยายามของรัฐบาลที่ทำจนสำเร็จในการลดดอกเบี้ยลงมา ซึ่งถือว่ารัฐบาลเศรษฐาจุดหัวเชื้อแล้ว และเป็นสัญญาณที่ดีในการผลักดันยอดขายและยอดโอนในช่วงไตรมาส 2/67-ไตรมาส 3/67

         ศุภาลัยชี้ลดค่างวดลง 2%

         นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมธนาคารไทยออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% สำหรับลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเปราะบาง เป็นเวลา 6 เดือนนั้น ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีในช่วงเวลานี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงอัตราการกู้ไม่ผ่านที่อยู่ในเกณฑ์สูง เนื่องมาจากภาระหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผล กระทบให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 จนถึงต้นปีนี้ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร

         ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1% สามารถช่วยกำลังซื้อของลูกค้าได้ประมาณ 7-8% ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% ในครั้งนี้ น่าจะสามารถช่วยกำลังซื้อของลูกค้าได้ถึง 2% ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีอีกข่าวหนึ่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

         โอกาสทองผู้บริโภคอสังหาฯ

         ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดดอกเบี้ย 0.25% รอบนี้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่จ่ายดอกเบี้ย เรต MRR เป็นการช่วยลดภาระจ่ายงวดเงินกู้ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย โดยเฉพาะสินเชื่อเก่าได้อานิสงส์เต็ม ๆ

         โดย REIC คำนวณประโยชน์ที่ลูกหนี้ สินเชื่อบ้านที่ใช้เรต MRR จะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย 0.25% ใช้ฐานสินเชื่อ ราคา 1-7 ล้านบาท อายุสินเชื่อ 30 ปี พบว่า มีค่างวดลดลงตั้งแต่เดือนละ 169 บาท สำหรับวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ไปจนถึงค่างวด ลดลงเดือนละ 1,183 บาท สำหรับวงเงินกู้ 7 ล้านบาท (ดูกราฟิกประกอบ)

         ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ ตอนนี้การลดดอกเบี้ยทำให้มู้ดตลาดมีทิศทางที่ดีขึ้น คนมีอารมณ์อยากจับจ่าย ใช้สอย หากบริษัทอสังหาฯ มีการจัดแคมเปญโปรโมชั่นออนท็อปเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ยิ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ดีขึ้น

         สำหรับผู้บริโภคอสังหาฯ ต้องบอกว่าเป็นโอกาสทองในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เพราะมีมาตรการรัฐเข้ามาสนับสนุน ทำให้ค่าใช้จ่ายวันโอนแทบจะไม่มีเลย หรือมีน้อยมาก เมื่อมาบวกเพิ่มเติมจากการที่แบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ย MRR 0.25% จะเป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชนในตอนนี้
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ