นายกอสังหาฯเผยลุยปราบ "นอมินี" ส่งผลดีระยะยาวต่างชาติหันมาเช่าระยะยาวในภูเก็ตแทนใช้คนไทยถือกรรมสิทธิ
วันที่ : 10 มิถุนายน 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตยังเติบโตดี ซึ่งดูได้จากตัวเลขยอดโอนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 9% แต่มูลค่าลดลงในกลุ่มของอสังหาฯที่ราคาเกิน 7 ล้านบาท ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีการชะลอตัวจากการชะลอมาตรการลดค่าทำเนียมการโอน ทั้งนี้เนื่องจากภูเก็ตยังมีกำลังซื้อทั้งในส่วนของคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียนที่เติบโตอยู่หลายเปอร์เซ็นต์ทั้งในส่วนของหน่วยและมูลค่า
นายกสมาคมอสังหาฯ ภูเก็ตเผย ภาครัฐปราบปรามนอมินีอสังหาฯในภูเก็ต กระทบธุรกิจ อสังหาฯ บ้างในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะส่งผลดี ทำนักลงทุนต่างชาติหันมาเช่าระยะยาว 30 ปี แทนการใช้คนไทยเป็นนอมินี แต่อยากผลักดันให้ต่างชาติมีสิทธิเช่าระยะยาวถึง 50 ปี เหมือนในหลายประเทศ แก้ปัญหานอมินี
นายเมธาพงศ์ อุปัติศฤงค์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวถึงกรณีที่มีการจับกุมคนไทยเป็นนอมินีชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุสนอสังหาฯในภูเก็ต ในโอกาสการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 และได้รับ การเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาฯ ภูเก็ตต่ออีกหนึ่งสมัย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กรณีการจับกุมนอมินีคนไทยที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินแทนชาวต่างชาติ ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่หลบเลี่ยงกฎหมาย เพราะในปัจจุบันนี้ตามระเบียบกฎหมายคนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ที่จะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินในประเทศไทยได้ จึงต้องใช้วิธีหลบเลี่ยงกฎหมายโดยให้คนไทยมาเป็นนอนิมินีถือกรรมสิทธิ์แทน
"เชื่อว่าเมื่อทางหน่วยงานราชการมีการปราบปรามอย่างเข้มข้น ผู้ที่ทำผิดกฎหมายอยู่ในขณะนี้ ก็จะหันมาทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด โดยการเปลี่ยนมาเป็นสัญญาเช่า ที่ชาวต่างชาติสามารถเช่าได้เป็นเวลา 30 ปี และต่อได้อีก 30 ปี หากตลาดอสังหาฯในส่วนของต่างชาติเป็นแบบเช่า 30 ปี และบวกอีก 30 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด ปัญหานอมินีจะค่อยๆ หมดไป" นายกสมาคมอสังหาฯภูเก็ต กล่าวและว่า
หลายๆ ผู้ลงทุนมองว่าระยะการเช่า 30 ปี ของชาวต่างชาตินั้นสั้นไป เพราะหลายๆ ประเทศในโลกนี้ ให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้สูงถึง 50 ปี และบางประเทศนานถึง 99 ปี ซึ่งในส่วนของภูเก็ตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกและเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุน อสังหาฯ ชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุนจำนวนมาก การเช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี น่าที่จะสั้นไป น่าที่มีอะไรที่พิเศษกว่านี้ เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เคยมีความพยายามที่จะผลักดันให้ได้ถึง 50 ปี ในช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงยังคงเป็นเวลา 30 ปีเท่านั้นสำหรับการเช่าที่ดินของชาวต่างชาติ
ส่วนผลกระทบต่ออสังหาฯภูเก็ตจากการปราบปราม นอมินีอย่างเข้มข้นนั้น นายกสมาคมอสังหาฯภูเก็ต กล่าวว่า มีผลกระทบบ้างในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้นถือว่าเป็นผลดี เพราะหลังการปราบปรามที่เข้มข้น จะทำให้ผู้ที่จะซื้อและลงทุนในอสังหาฯภูเก็ต จะเปลี่ยนจาการซื้อโดย ใช้คนไทยถือกรรมสิทธิ์ เป็นเช่าในระยะยาว 30 ปี แทน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนอสังหาฯในภูเก็ต ในระยะยาว
ขณะที่ นางสาวสิทธิเพ็ญ สิทธัตถพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตยังเติบโตดี ซึ่งดูได้จากตัวเลขยอดโอนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 9% แต่มูลค่าลดลงในกลุ่มของอสังหาฯที่ราคาเกิน 7 ล้านบาท ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีการชะลอตัวจากการชะลอมาตรการลดค่าทำเนียมการโอน ทั้งนี้เนื่องจากภูเก็ตยังมีกำลังซื้อทั้งในส่วนของคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียนที่เติบโตอยู่หลายเปอร์เซ็นต์ทั้งในส่วนของหน่วยและมูลค่า
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2568 ภูเก็ตยังได้รับอนิสงค์จากภาคการท่องเที่ยว และยังเป็นที่เชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะมาซื้ออสังหาฯ รวมไปถึงมาตรการต่างๆของรัฐบาลที่จะกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน รวมไปถึงมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้มีการผ่อนคลาย มาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำ สัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568-วันที่ 30 มิถุนายน 2569 นี้ จะเป็นแรงส่งให้ตลาดอสังหาฯภูเก็ตขยายตัวต่อไปในปี 2568 นี้ ทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และ พูลวิลล่า และคิดว่าภาพรวมของภูเก็ตน่าจะดีกว่าทั่วประเทศ
ส่วนกรณีที่มีการตรวจสอบและจับกุมคนไทยที่เป็นนอมินีให้ชาวต่างชาตินั้น นางสาวสิทธิเพ็ญ มองว่า จะทำให้ภูเก็ตถูกมองในด้านลบได้ จึงอยากให้ระมัดระวัง ควรจะประกอบธุรกิจตรงไปตรงมา หากชาวต่างประเทศซื้อไม่ได้ก็ควรจะให้เขาเช่า ในขณะเดียวกันหากต้องการที่จะมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถที่จะมาเช่าที่พัฒนาได้ เพื่อรองรับกลุ่มตลาดประเทศของตนเองที่สามารถเช่าได้เป็นระยะเวลาถึง 30 ปี ทั้งนี้ทำให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย จังหวัดภูเก็ตจะเติบโตได้อีกมากหรือเติบโตแบบแข็งแรงด้วย
"ยืนยันว่าปัญหานอมินี เป็นปัญหาที่กระทบทั่วประเทศ เพราะไม่ได้มีผลดีแก่ใคร คนไทยที่ไปรับจ้างเป็นนอมินีก็ถูกจับ ต่างชาติก็สูญเสียทรัพย์สิน ถูกเนรเทศ ดังนั้นจึงต้องประกอบธุรกิจให้ถูกต้อง มีผลทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน" นางสาวสิทธิเพ็ญ กล่าวในที่สุด.
นายเมธาพงศ์ อุปัติศฤงค์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวถึงกรณีที่มีการจับกุมคนไทยเป็นนอมินีชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุสนอสังหาฯในภูเก็ต ในโอกาสการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 และได้รับ การเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาฯ ภูเก็ตต่ออีกหนึ่งสมัย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กรณีการจับกุมนอมินีคนไทยที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินแทนชาวต่างชาติ ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่หลบเลี่ยงกฎหมาย เพราะในปัจจุบันนี้ตามระเบียบกฎหมายคนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ที่จะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินในประเทศไทยได้ จึงต้องใช้วิธีหลบเลี่ยงกฎหมายโดยให้คนไทยมาเป็นนอนิมินีถือกรรมสิทธิ์แทน
"เชื่อว่าเมื่อทางหน่วยงานราชการมีการปราบปรามอย่างเข้มข้น ผู้ที่ทำผิดกฎหมายอยู่ในขณะนี้ ก็จะหันมาทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด โดยการเปลี่ยนมาเป็นสัญญาเช่า ที่ชาวต่างชาติสามารถเช่าได้เป็นเวลา 30 ปี และต่อได้อีก 30 ปี หากตลาดอสังหาฯในส่วนของต่างชาติเป็นแบบเช่า 30 ปี และบวกอีก 30 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด ปัญหานอมินีจะค่อยๆ หมดไป" นายกสมาคมอสังหาฯภูเก็ต กล่าวและว่า
หลายๆ ผู้ลงทุนมองว่าระยะการเช่า 30 ปี ของชาวต่างชาตินั้นสั้นไป เพราะหลายๆ ประเทศในโลกนี้ ให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้สูงถึง 50 ปี และบางประเทศนานถึง 99 ปี ซึ่งในส่วนของภูเก็ตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกและเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุน อสังหาฯ ชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุนจำนวนมาก การเช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี น่าที่จะสั้นไป น่าที่มีอะไรที่พิเศษกว่านี้ เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เคยมีความพยายามที่จะผลักดันให้ได้ถึง 50 ปี ในช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงยังคงเป็นเวลา 30 ปีเท่านั้นสำหรับการเช่าที่ดินของชาวต่างชาติ
ส่วนผลกระทบต่ออสังหาฯภูเก็ตจากการปราบปราม นอมินีอย่างเข้มข้นนั้น นายกสมาคมอสังหาฯภูเก็ต กล่าวว่า มีผลกระทบบ้างในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้นถือว่าเป็นผลดี เพราะหลังการปราบปรามที่เข้มข้น จะทำให้ผู้ที่จะซื้อและลงทุนในอสังหาฯภูเก็ต จะเปลี่ยนจาการซื้อโดย ใช้คนไทยถือกรรมสิทธิ์ เป็นเช่าในระยะยาว 30 ปี แทน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนอสังหาฯในภูเก็ต ในระยะยาว
ขณะที่ นางสาวสิทธิเพ็ญ สิทธัตถพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตยังเติบโตดี ซึ่งดูได้จากตัวเลขยอดโอนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 9% แต่มูลค่าลดลงในกลุ่มของอสังหาฯที่ราคาเกิน 7 ล้านบาท ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีการชะลอตัวจากการชะลอมาตรการลดค่าทำเนียมการโอน ทั้งนี้เนื่องจากภูเก็ตยังมีกำลังซื้อทั้งในส่วนของคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียนที่เติบโตอยู่หลายเปอร์เซ็นต์ทั้งในส่วนของหน่วยและมูลค่า
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2568 ภูเก็ตยังได้รับอนิสงค์จากภาคการท่องเที่ยว และยังเป็นที่เชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะมาซื้ออสังหาฯ รวมไปถึงมาตรการต่างๆของรัฐบาลที่จะกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน รวมไปถึงมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้มีการผ่อนคลาย มาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำ สัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568-วันที่ 30 มิถุนายน 2569 นี้ จะเป็นแรงส่งให้ตลาดอสังหาฯภูเก็ตขยายตัวต่อไปในปี 2568 นี้ ทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และ พูลวิลล่า และคิดว่าภาพรวมของภูเก็ตน่าจะดีกว่าทั่วประเทศ
ส่วนกรณีที่มีการตรวจสอบและจับกุมคนไทยที่เป็นนอมินีให้ชาวต่างชาตินั้น นางสาวสิทธิเพ็ญ มองว่า จะทำให้ภูเก็ตถูกมองในด้านลบได้ จึงอยากให้ระมัดระวัง ควรจะประกอบธุรกิจตรงไปตรงมา หากชาวต่างประเทศซื้อไม่ได้ก็ควรจะให้เขาเช่า ในขณะเดียวกันหากต้องการที่จะมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถที่จะมาเช่าที่พัฒนาได้ เพื่อรองรับกลุ่มตลาดประเทศของตนเองที่สามารถเช่าได้เป็นระยะเวลาถึง 30 ปี ทั้งนี้ทำให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย จังหวัดภูเก็ตจะเติบโตได้อีกมากหรือเติบโตแบบแข็งแรงด้วย
"ยืนยันว่าปัญหานอมินี เป็นปัญหาที่กระทบทั่วประเทศ เพราะไม่ได้มีผลดีแก่ใคร คนไทยที่ไปรับจ้างเป็นนอมินีก็ถูกจับ ต่างชาติก็สูญเสียทรัพย์สิน ถูกเนรเทศ ดังนั้นจึงต้องประกอบธุรกิจให้ถูกต้อง มีผลทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน" นางสาวสิทธิเพ็ญ กล่าวในที่สุด.
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ