ภาษีทรัมป์19% ไม่ช่วยอสังหาฯ ผู้ประกอบการเน้นลดพอร์ต-เบรกโปรเจกต์ใหม่
วันที่ : 4 สิงหาคม 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า "ดัชนีราคา ห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ในกรุงเทพฯ- ปริมณฑล" มีค่าดัชนีเท่ากับ 159.1 จุด เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อและดีมานด์ในตลาด ณ ปัจจุบันและมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมในภาวะปัจจุบัน
ผลวิจัยระบุราคาคอนโดฯ-ค่าก่อสร้างพุ่ง
อสังหาริมทรัพย์
หลังการประกาศตัวเลขภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยประเทศไทยได้รับการปรับลด อัตราภาษีส่งสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาลงมาอยู่ที่ 19% จากเดิมที่ประกาศไว้ 36% ทำให้หลาย ๆ ภาคธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยคลายความกังวลลงไปอย่างมากโดยเฉพาะภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจอสังหาฯที่แม้ว่าจะไม่ใช่ธุรกิจส่งออก แต่ก็เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยหากอเมริกาคงภาษีตอบโต้ไว้สูงในระดับ 36%
เพราะหากสหรัฐฯยังคงอัตราภาษีตอบโต้ไว้สูงถึง 36% ย่อมมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีความผ่อนคลายจากแรงกดดัน ซึ่งเกิดจากภาษีตอบโต้ลงไปมาก แต่สถานการณ์ตลาดอสังหาฯในปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาตัวดัชนีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯ ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯในช่วง 6 เดือนข้างหน้ายังระบุด้วยว่ามีแนวโน้มลดลง เช่นกัน สอดคล้องกับ รายงานล่าสุดของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า "ดัชนีราคา ห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ในกรุงเทพฯ- ปริมณฑล" มีค่าดัชนีเท่ากับ 159.1 จุด เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อและดีมานด์ในตลาด ณ ปัจจุบันและมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมในภาวะปัจจุบัน
สำหรับปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาขายห้องชุดให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนก่อสร้างทั้งราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กเส้น ปูนซีเมนต์ กระจกอะลูมิเนียม และค่าแรงงานที่ทยอยเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพ รวมถึงราคาที่ดินในทำเลศักยภาพ ซึ่งยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งล้วนเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมจากทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ พบว่าราคาห้องชุดปรับตัวลดลง-0.8% การปรับลดราคานี้อาจเป็นผลมาจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ในบางพื้นที่ซึ่งสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอาคารสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นและเร่งการตัดสินใจซื้อ ผู้ประกอบการจึงเพิ่มมาตรการส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะการให้ส่วนลดเงินสด ที่มีสัดส่วนสูงถึง 37.5% เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 15.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแถมประกันภัยอาคารให้กับผู้ซื้อในสัดส่วน 3.4% ของโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ซึ่งคาดว่า การปรับลดราคาเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวในระยะสั้น ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เมื่อแยกตามพื้นที่ พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 162.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง-0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทำให้ในภาพรวมยังทรงตัวในทิศทางขาขึ้น (Sideway-up) ซึ่งทำเลที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ได้แก่ ทำเลสุขุมวิทตอนต้น ในระดับราคา 5.00-7.50 ล้านบาท
2 จังหวัดปริมณฑล (สมุทรปราการ และนนทบุรี) มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.6 จุด ลดลง -1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง-1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งโซนที่มีการปรับ ราคาลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ในระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท
3. รายการส่งเสริมการขายห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นของสมนาคุณ 38.5% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 64.8% สำหรับรูปแบบการให้ส่วนลดฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ มีสัดส่วน 20.7% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 19.8% และการส่งเสริมการขายโดยการให้ส่วนลดเงินสด มีสัดส่วน 37.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีสัดส่วน 15.4% นอกจากนี้ยังมีการแถมประกันภัยอาคารเพราะว่าผู้ซื้ออาจจะมีความกังวลจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมีสัดส่วน 3.4%
ดัชนีค่าก่อสร้าง Q2/68 สะท้อนต้นทุนคอนโดฯใหม่
ทิศทางการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาคอนโดฯ ที่ยังคงสวนทางกับกำลังซื้อและดีมานด์ที่ยังคงหดตัวในปัจจุบันนั้น ปัจจัยหลักๆ ยังคงเกิดจากแนวโน้มของต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้น โดยล่าสุด บทวิเคราะห์ "ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2568" ระบุว่า ค่าดัชนี ณ ไตรมาสที่ 2/68 มีค่าเท่ากับ 141.0 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีรายละเอียดดังนี้ หมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ โดยหมวดที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ หมวดงานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร เพิ่มขึ้น 7.5% รองลงมา คือ หมวดงานสถาปัตยกรรมเพิ่มขึ้น 2.2% ในขณะที่หมวดงานระบบสุขาภิบาล ลดลง -0.2% และหมวดงานวิศวกรรมโครงสร้าง ลดลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หมวดราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่ากระเบื้องเพิ่มขึ้นมากที่สุด 13.9% รองลงมา คือ หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา เพิ่มขึ้น 5.4% หมวดวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เพิ่มขึ้น 1.4% และหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างในหมวดต่างๆ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ในการก่อสร้างโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา
ขณะที่ส่วนหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับลดลงมากที่สุด -9.1% เป็นผลมาจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้มีอุปทานเหล็กส่วนเกินจากจีนกดดันราคาเหล็กในตลาดโลกและตลาดในประเทศไทยลดลง และหมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ลดลง -0.3% ด้านหมวดแรงงาน พบว่า เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 372 บาทต่อวัน จาก 363 บาทต่อวัน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 68
ทั้งนี้ หากพิจารณาจำแนกต้นทุนของงานก่อสร้างในแต่ละหมวด มีรายละเอียด ดังนี้
1. หมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานวิศวกรรมโครงสร้าง มีอัตราค่าตอบแทนลดลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 26.1% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานสถาปัตยกรรม มีอัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 67.6% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบสุขาภิบาล มีอัตราค่าตอบแทนลดลง -0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คงที่ 0.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 2.6% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร อัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน แต่ลดลง -0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 3.7% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
2. หมวดวัสดุก่อสร้างซึ่งประกอบด้วยไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 28.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ราคาลดลง -0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.02% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลง -9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 7.7% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
กระเบื้อง ราคาเพิ่มขึ้น 13.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
สุขภัณฑ์ ราคาไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 3.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง -0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ราคาเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 41.5% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
3. หมวดแรงงาน ค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.7%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการประกาศปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 68 โดยมีค่าแรงขั้นต่ำ 372 บาทต่อวัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีค่าแรงขั้นต่ำ 363 บาทต่อวัน
ครึ่งปีแรกโครงการเปิดใหม่หดตัวลง 54%
ทิศทางและแนวโน้มตลาดอสังหาฯที่ยังคงหดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ประกอบกับแนวโน้มของราคาขายที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงตามต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยลบเดิมๆ เช่น การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ปัญหาเงินเฟ้อ และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 68 บริษัทอสังหาฯยังคงชะลอแผนการลงทุนใหม่ๆ
ล่าสุด นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วง ครึ่งหลังของปี68 จะยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่อง จากการที่เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่ำ ทำให้รายได้และกำลังซื้อของประชากรลดลง ผนวกกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไปจนถึงสินเชื่ออุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีแนวโน้มลดลง และมีมาตรการผ่อนคลาย อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า (Loan to Value: LTV) รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาอยู่ที่ 0.01% ก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมา ได้ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังกังวลรายได้ในอนาคต ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ที่เป็นภาระหนี้ระยะยาวออกไปก่อน
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้คาดว่า ปี 68 จะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงทั้งมูลค่าและจำนวน เพราะบริษัทอสังหาฯ จะชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ และมุ่งเน้นที่การเร่งระบายสินค้าคงเหลือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในการถือครองทรัพย์สินแทน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี68 ที่ปรับตัวลดลงทั้งจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการคิดเป็นสัดส่วน 54% และ 46% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี67
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 พบว่า จำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 มี จำนวน 104 โครงการ ลดลง 42% หรือมีหน่วยเปิดตัวใหม่ 14,942 หน่วย ลดลง 54% คิดเป็นมูลค่า 109,220 ล้านบาท ลดลง 46% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 67 โดยเป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุด 23 โครงการ ลดลง 30% คิดเป็นจำนวน 7,393 หน่วย ลดลง 45% และคิดเป็นมูลค่า 22,956 ล้านบาท ลดลง 56% จากระยะเดียวกันของปี 67 ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 3.10 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 20% จากราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.87 ล้านบาทต่อหน่วย
จากแนวโน้มที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯมีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นระบายสต๊อกสินค้าในมือเพื่อนำเงินสดกลับเข้ามาเป็นกระแสเงินสดให้กับบริษัท สังเกตได้จากการปรับแผนกระจายพอร์ตการลงทุน เช่น เพิ่มรายได้จากค่าเช่า ในธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศเช่า หรือการปรับรูปแบบการสร้างรายได้จากสต๊อกสินค้าคงค้างเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้นก่อนส่งมอบหรือโอนห้องชุดให้ลูกค้า เมื่อได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยหนึ่งในบริษัทที่มีการปรับรูปแบบการขายดังกล่าวคือ บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์
โดย นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ (SENA) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังของปี 68 คาดว่าจะยังเห็นภาพทิศทางตลาดยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครึ่งปีแรกมากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงมีความผันผวนค่อนข้างมากจากความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก อีกทั้งกำลังซื้อยังชะลอตัวต่อเนื่องและสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทำให้ภาพของปัจจัยที่มีผลต่อตลาดทรงตัวและเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เสนาฯ คาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ช่วงปลายปีได้ดีขึ้น โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลงช่วยเพิ่มความสามารถในการกู้ และจูงใจให้เกิดการซื้อที่อยู่อาศัยขณะที่ผู้ประกอบการเองจะมีต้นทุนทางการเงินลดลง
โดยในส่วนของ เสนาฯนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิด 4 โครงการใหม่ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมแบรนด์ COZY 3 โครงการระดับราคา 1-1.5 ล้านบาทในทำเลเมือง และแนวราบ 1 โครงการ บริษัทจะไม่เร่งเปิดโครงการใหม่ เนื่องจากตลาดอสังหาฯ ยัง ชะลอตัว แต่จะปรับกลยุทธ์หลายรูปแบบ เช่น การเช่าออมผ่าน บริการ LivNex และการให้เช่าผ่านบริการ RentNex ซึ่งช่วยสร้างรายได้ราว 30 ล้านบาทต่อปี และในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ ยังเตรียมจะออกแพกเกจขายคอนโดมิเนียมพร้อมผู้เช่าผ่านบริการ RentNex เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน
"ยอมรับว่าในปี68 นี้ รายได้ของบริษัทอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายตามที่วางไว้ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงต้นปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาด แต่บริษัทเน้นรักษาความสามารถการทำกำไรด้วยการปรับกลยุทธ์การขาย เปลี่ยนสินทรัพย์กลับมาเป็นผลตอบแทน และบริหารจัดการต้นทุน ด้วยการลดต้นทุนต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง"
อสังหาริมทรัพย์
หลังการประกาศตัวเลขภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยประเทศไทยได้รับการปรับลด อัตราภาษีส่งสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาลงมาอยู่ที่ 19% จากเดิมที่ประกาศไว้ 36% ทำให้หลาย ๆ ภาคธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยคลายความกังวลลงไปอย่างมากโดยเฉพาะภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจอสังหาฯที่แม้ว่าจะไม่ใช่ธุรกิจส่งออก แต่ก็เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยหากอเมริกาคงภาษีตอบโต้ไว้สูงในระดับ 36%
เพราะหากสหรัฐฯยังคงอัตราภาษีตอบโต้ไว้สูงถึง 36% ย่อมมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีความผ่อนคลายจากแรงกดดัน ซึ่งเกิดจากภาษีตอบโต้ลงไปมาก แต่สถานการณ์ตลาดอสังหาฯในปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาตัวดัชนีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯ ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯในช่วง 6 เดือนข้างหน้ายังระบุด้วยว่ามีแนวโน้มลดลง เช่นกัน สอดคล้องกับ รายงานล่าสุดของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า "ดัชนีราคา ห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ในกรุงเทพฯ- ปริมณฑล" มีค่าดัชนีเท่ากับ 159.1 จุด เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อและดีมานด์ในตลาด ณ ปัจจุบันและมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมในภาวะปัจจุบัน
สำหรับปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาขายห้องชุดให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนก่อสร้างทั้งราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กเส้น ปูนซีเมนต์ กระจกอะลูมิเนียม และค่าแรงงานที่ทยอยเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพ รวมถึงราคาที่ดินในทำเลศักยภาพ ซึ่งยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งล้วนเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมจากทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ พบว่าราคาห้องชุดปรับตัวลดลง-0.8% การปรับลดราคานี้อาจเป็นผลมาจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ในบางพื้นที่ซึ่งสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอาคารสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นและเร่งการตัดสินใจซื้อ ผู้ประกอบการจึงเพิ่มมาตรการส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะการให้ส่วนลดเงินสด ที่มีสัดส่วนสูงถึง 37.5% เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 15.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแถมประกันภัยอาคารให้กับผู้ซื้อในสัดส่วน 3.4% ของโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ซึ่งคาดว่า การปรับลดราคาเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวในระยะสั้น ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เมื่อแยกตามพื้นที่ พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 162.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง-0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทำให้ในภาพรวมยังทรงตัวในทิศทางขาขึ้น (Sideway-up) ซึ่งทำเลที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ได้แก่ ทำเลสุขุมวิทตอนต้น ในระดับราคา 5.00-7.50 ล้านบาท
2 จังหวัดปริมณฑล (สมุทรปราการ และนนทบุรี) มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.6 จุด ลดลง -1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง-1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งโซนที่มีการปรับ ราคาลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ในระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท
3. รายการส่งเสริมการขายห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นของสมนาคุณ 38.5% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 64.8% สำหรับรูปแบบการให้ส่วนลดฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ มีสัดส่วน 20.7% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 19.8% และการส่งเสริมการขายโดยการให้ส่วนลดเงินสด มีสัดส่วน 37.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีสัดส่วน 15.4% นอกจากนี้ยังมีการแถมประกันภัยอาคารเพราะว่าผู้ซื้ออาจจะมีความกังวลจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมีสัดส่วน 3.4%
ดัชนีค่าก่อสร้าง Q2/68 สะท้อนต้นทุนคอนโดฯใหม่
ทิศทางการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาคอนโดฯ ที่ยังคงสวนทางกับกำลังซื้อและดีมานด์ที่ยังคงหดตัวในปัจจุบันนั้น ปัจจัยหลักๆ ยังคงเกิดจากแนวโน้มของต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้น โดยล่าสุด บทวิเคราะห์ "ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2568" ระบุว่า ค่าดัชนี ณ ไตรมาสที่ 2/68 มีค่าเท่ากับ 141.0 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีรายละเอียดดังนี้ หมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ โดยหมวดที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ หมวดงานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร เพิ่มขึ้น 7.5% รองลงมา คือ หมวดงานสถาปัตยกรรมเพิ่มขึ้น 2.2% ในขณะที่หมวดงานระบบสุขาภิบาล ลดลง -0.2% และหมวดงานวิศวกรรมโครงสร้าง ลดลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หมวดราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่ากระเบื้องเพิ่มขึ้นมากที่สุด 13.9% รองลงมา คือ หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา เพิ่มขึ้น 5.4% หมวดวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เพิ่มขึ้น 1.4% และหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างในหมวดต่างๆ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ในการก่อสร้างโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา
ขณะที่ส่วนหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับลดลงมากที่สุด -9.1% เป็นผลมาจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้มีอุปทานเหล็กส่วนเกินจากจีนกดดันราคาเหล็กในตลาดโลกและตลาดในประเทศไทยลดลง และหมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ลดลง -0.3% ด้านหมวดแรงงาน พบว่า เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 372 บาทต่อวัน จาก 363 บาทต่อวัน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 68
ทั้งนี้ หากพิจารณาจำแนกต้นทุนของงานก่อสร้างในแต่ละหมวด มีรายละเอียด ดังนี้
1. หมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานวิศวกรรมโครงสร้าง มีอัตราค่าตอบแทนลดลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 26.1% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานสถาปัตยกรรม มีอัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 67.6% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบสุขาภิบาล มีอัตราค่าตอบแทนลดลง -0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คงที่ 0.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 2.6% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร อัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน แต่ลดลง -0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 3.7% ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
2. หมวดวัสดุก่อสร้างซึ่งประกอบด้วยไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 28.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ราคาลดลง -0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.02% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลง -9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 7.7% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
กระเบื้อง ราคาเพิ่มขึ้น 13.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
สุขภัณฑ์ ราคาไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 3.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง -0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 6.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ราคาเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสัดส่วน 41.5% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
3. หมวดแรงงาน ค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.7%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการประกาศปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 68 โดยมีค่าแรงขั้นต่ำ 372 บาทต่อวัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีค่าแรงขั้นต่ำ 363 บาทต่อวัน
ครึ่งปีแรกโครงการเปิดใหม่หดตัวลง 54%
ทิศทางและแนวโน้มตลาดอสังหาฯที่ยังคงหดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ประกอบกับแนวโน้มของราคาขายที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงตามต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยลบเดิมๆ เช่น การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ปัญหาเงินเฟ้อ และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 68 บริษัทอสังหาฯยังคงชะลอแผนการลงทุนใหม่ๆ
ล่าสุด นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วง ครึ่งหลังของปี68 จะยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่อง จากการที่เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่ำ ทำให้รายได้และกำลังซื้อของประชากรลดลง ผนวกกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไปจนถึงสินเชื่ออุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีแนวโน้มลดลง และมีมาตรการผ่อนคลาย อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า (Loan to Value: LTV) รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาอยู่ที่ 0.01% ก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมา ได้ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังกังวลรายได้ในอนาคต ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ที่เป็นภาระหนี้ระยะยาวออกไปก่อน
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้คาดว่า ปี 68 จะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงทั้งมูลค่าและจำนวน เพราะบริษัทอสังหาฯ จะชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ และมุ่งเน้นที่การเร่งระบายสินค้าคงเหลือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในการถือครองทรัพย์สินแทน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี68 ที่ปรับตัวลดลงทั้งจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการคิดเป็นสัดส่วน 54% และ 46% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี67
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 พบว่า จำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 มี จำนวน 104 โครงการ ลดลง 42% หรือมีหน่วยเปิดตัวใหม่ 14,942 หน่วย ลดลง 54% คิดเป็นมูลค่า 109,220 ล้านบาท ลดลง 46% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 67 โดยเป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุด 23 โครงการ ลดลง 30% คิดเป็นจำนวน 7,393 หน่วย ลดลง 45% และคิดเป็นมูลค่า 22,956 ล้านบาท ลดลง 56% จากระยะเดียวกันของปี 67 ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 3.10 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 20% จากราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.87 ล้านบาทต่อหน่วย
จากแนวโน้มที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯมีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นระบายสต๊อกสินค้าในมือเพื่อนำเงินสดกลับเข้ามาเป็นกระแสเงินสดให้กับบริษัท สังเกตได้จากการปรับแผนกระจายพอร์ตการลงทุน เช่น เพิ่มรายได้จากค่าเช่า ในธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศเช่า หรือการปรับรูปแบบการสร้างรายได้จากสต๊อกสินค้าคงค้างเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้นก่อนส่งมอบหรือโอนห้องชุดให้ลูกค้า เมื่อได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยหนึ่งในบริษัทที่มีการปรับรูปแบบการขายดังกล่าวคือ บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์
โดย นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ (SENA) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังของปี 68 คาดว่าจะยังเห็นภาพทิศทางตลาดยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครึ่งปีแรกมากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงมีความผันผวนค่อนข้างมากจากความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก อีกทั้งกำลังซื้อยังชะลอตัวต่อเนื่องและสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทำให้ภาพของปัจจัยที่มีผลต่อตลาดทรงตัวและเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เสนาฯ คาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ช่วงปลายปีได้ดีขึ้น โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลงช่วยเพิ่มความสามารถในการกู้ และจูงใจให้เกิดการซื้อที่อยู่อาศัยขณะที่ผู้ประกอบการเองจะมีต้นทุนทางการเงินลดลง
โดยในส่วนของ เสนาฯนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิด 4 โครงการใหม่ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมแบรนด์ COZY 3 โครงการระดับราคา 1-1.5 ล้านบาทในทำเลเมือง และแนวราบ 1 โครงการ บริษัทจะไม่เร่งเปิดโครงการใหม่ เนื่องจากตลาดอสังหาฯ ยัง ชะลอตัว แต่จะปรับกลยุทธ์หลายรูปแบบ เช่น การเช่าออมผ่าน บริการ LivNex และการให้เช่าผ่านบริการ RentNex ซึ่งช่วยสร้างรายได้ราว 30 ล้านบาทต่อปี และในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ ยังเตรียมจะออกแพกเกจขายคอนโดมิเนียมพร้อมผู้เช่าผ่านบริการ RentNex เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน
"ยอมรับว่าในปี68 นี้ รายได้ของบริษัทอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายตามที่วางไว้ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงต้นปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาด แต่บริษัทเน้นรักษาความสามารถการทำกำไรด้วยการปรับกลยุทธ์การขาย เปลี่ยนสินทรัพย์กลับมาเป็นผลตอบแทน และบริหารจัดการต้นทุน ด้วยการลดต้นทุนต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง"
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ