ธุรกิจโรงแรมกทม.-ปริมณฑลแข่งขันสูง ห่วงซัพพลายล้น! นทท.ลด สัญญาณกระทบสินเชื่อแบงก์4.18 แสนล.
Loading

ธุรกิจโรงแรมกทม.-ปริมณฑลแข่งขันสูง ห่วงซัพพลายล้น! นทท.ลด สัญญาณกระทบสินเชื่อแบงก์4.18 แสนล.

วันที่ : 13 พฤศจิกายน 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” และสะท้อนถึงธุรกิจโรงแรมในครึ่งหลังของปี 68 พบว่า ภาพรวมครึ่งปีแรก ด้านอุปสงค์ของธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลงร้อยละ -4.7 แต่แม้ตัวเลขลดลง แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศ กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 60.8 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 59.1 สะท้อนความต้องการใช้บริการที่พักยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
   หลังโควิด-19 ผ่านมาพ้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย พลิกฟื้นกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชาวจีน ที่หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวไทย และบางส่วนเข้ามาลงทุนซื้อโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับเป็นบ้านหลังที่สอง หรือ เตรียมพร้อมในเรื่องเป็นที่พักไว้สำหรับบุตรที่เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่ออัพเกรดเรื่องการศึกษา ก่อนเดินทางไปศึกษายังประเทศอื่น

   “ธุรกิจโรงแรม” เป็นอีกเซกเตอร์ ที่ช่วงโควิด “บอบช้ำ” อย่างหนัก จนต้องปิดกิจการ แต่โควิดผ่านมา กลายเป็น ธุรกิจ “ดาวเด่น” ขึ้นมา ทั้งจากอัตราการเข้าพักที่ดีขึ้น ราคาห้องพักต่อห้องต่อคืน ตัวเลขสูงขึ้น หลายโรงแรม ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาซื้อกิจการต่อ โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพฯ และ จังหวัดตามหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา ระยอง เชียงใหม่ หรือ จังหวัดที่มีเศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่น ขอนแก่น เป็นต้น

   อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การท่องเที่ยวในไทย เข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ปี เนื่องจากมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น เศรษฐกิจของประเทศจีน ชะลอตัวลง ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเดินทางลดลง หรือบางกลุ่ม ปรับเป้าหมายไปเที่ยวประเทศอื่นแทน เนื่องจาก ภาพสถานการณ์ท่องเที่ยวในไทยยังคงเดิม ไม่มีการปรับหรือพัฒนาให้ดีขึ้น !! รวมถึง ประเทศไทย มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ในเรื่องของการถูกมองเป็นแหล่งฟอกเงิน ธุรกิจสีเทา เป็นต้น

   ขณะที่ ทาง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” และสะท้อนถึงธุรกิจโรงแรมในครึ่งหลังของปี 68 พบว่า ภาพรวมครึ่งปีแรก ด้านอุปสงค์ของธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลงร้อยละ -4.7 แต่แม้ตัวเลขลดลง แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศ กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 60.8 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 59.1 สะท้อนความต้องการใช้บริการที่พักยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

   ด้านอุปทาน (Supply) พบว่า มีการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยจำนวนโรงแรมที่ยื่นขออนุญาตเปิดใหม่ รวมถึงจำนวนห้องพักใหม่ลดลงร้อยละ -34.6 และร้อยละ -32.2 ตามลำดับ ส่งผลให้จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศลดลงร้อยละ -3.7 และจำนวนห้องพักสะสมลดลงร้อยละ -1.8

   อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปทานในอนาคต มีสัญญาณการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโรงแรมปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑลที่มีการขออนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 230.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยว มีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

    ครึ่งปีแรก 10 จังหวัดเปิดธุรกิจโรงแรมใหม่มากสุด

    ครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) มีโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 232 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 8,946 ห้อง โดยลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพักร้อยละ -34.6 และร้อยละ -32.2 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีจำนวนโรงแรม 355 แห่ง และมีห้องพัก 13,190 ห้อง โดยกรุงเทพฯ – ปริมณฑลมีจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตมากที่สุด 3,012 ห้อง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33.7 ของห้องพักทั้งหมด ส่งผลให้ในภาพรวมจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นในภาคตะวันตกที่มีจำนวนเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

    ส่วนจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตใหม่มีจำนวนลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นกรุงเทพฯ - ปริมณฑลที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 แสดงให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคกลางซึ่งมีจำนวนโรงแรมและห้องพักที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงอย่างชัดเจนมากกว่าร้อยละ -50.0 เมื่อเทียบกับ YoY

   จังหวัดที่มีจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ มากที่สุด 10 อันดับแรก ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 75.0 ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุทรปราการ นครราชสีมา ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ

   โดยในจำนวนนี้ สมุทรปราการเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 366.7 รองลงมาคือ ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร มีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นตามลำดับ เทียบ YoY ในขณะที่ชลบุรีลดลงมากที่สุดร้อยละ -63.0 รองลงมา คือ ภูเก็ต กระบี่ นครราชสีมา ระยอง และเชียงใหม่ มีจำนวนห้องพักลดลงตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนในจังหวัดอื่น ๆ ลดลง –50.3 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

   สะสมทั่วประเทศเปิดห้องพักรวม 7 แสนห้อง

   โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศ (ไม่นับรวม เกสต์เฮ้าส์ รีสอร์ท หรือโรงแรมที่ไม่ขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง และที่ใบอนุญาตหมดอายุ) ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีจำนวน 16,369 แห่ง และมีจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการ 703,751 ห้อง ลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพัก ร้อยละ -3.7 และร้อยละ -1.8 ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 17,006 แห่ง และมีห้องพักที่เปิดให้บริการ 716,311 ห้อง

    ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการสะสม ครึ่งแรกปี 2568 เมื่อเทียบกับ YoY แยกตามรายภาค พบว่า กรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีจำนวนห้องพักสะสมมากที่สุด 179,872 ห้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 รองลงมาได้แก่ภาคใต้ มีจำนวนห้องพัก 167,388 ห้อง ลดลงร้อยละ -3.4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.8 และภาคตะวันออกมีจำนวนห้องพัก 108,560 ห้อง ลดลงร้อยละ -7.9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.4 ของห้องพักทั้งหมด

    หากพิจารณาจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เปิดให้บริการสะสม แยกตามจังหวัด พบว่า 10 อันดับจังหวัดแรกที่มีห้องพักมากที่สุด ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนจำนวนห้องพักรวมกันร้อยละ 60.5 ของจำนวนห้องพักทั้งหมด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ สงขลา นครราชสีมา ระยอง และเชียงราย

    ใน 10 อันดับนี้ พบว่า ระยองมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 5.9 ขณะที่จังหวัด ที่มีห้องพักลดลงมากที่สุด คือ กระบี่ ลดลงร้อยละ -9.9 ส่วนจังหวัดอื่น ๆ มีจำนวนลดลงร้อยละ -2.6

    ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างโรงแรมจำนวน 908 แห่ง ลดลงร้อยละ -15.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 1,069 แห่ง แต่มีพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างรวม 583,288 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีพื้นที่ก่อสร้าง 450,073 ตารางเมตร

    การออกใบอนุญาตก่อสร้างโรงแรมแยกเป็นรายภาค ช่วงครึ่งแรกปี 2568 พบว่า ภาคใต้มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างมากที่สุด 249,379 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.8 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างทั้งหมด โดยภาคที่มีการขยายตัวของพื้นที่ก่อสร้างโรงแรมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ได้แก่ กรุงเทพฯ -ปริมณฑลเพิ่มขึ้นร้อยละ 230.7 รองลงได้แก่ ภาคเหนือเพิ่มขึ้นร้อยละ 112.9 ภาคตะวันตกเพิ่มขึ้นร้อยละ 93.3 และภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3

   สำหรับ 10 จังหวัดแรกที่มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างโรงแรมมากที่สุดช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนรวมกันสูงถึงร้อยละ 85.7 โดยภูเก็ต มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างมากที่สุด 195,271 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33.5 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) รองลงมาได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี กาญจนบุรี นครราชสีมา พังงา กระบี่ ระยอง เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งใน 10 จังหวัดดังกล่าว มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นเกือบทุกจังหวัด มีเพียงชลบุรี และนครราชสีมาที่มีพื้นที่ก่อสร้างลดลงร้อยละ -49.9 และร้อยละ -24.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

   สินเชื่อคงค้างเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท

   ณ ครึ่งแรกปี 2568 สินเชื่อคงค้างเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ทั่วประเทศ มีมูลค่า 418,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีมูลค่า 417,683 ล้านบาท

   ช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การมาทำงานประจำหรือศึกษาอยู่ที่ประเทศไทยจำนวน 16,685,469 คน ลดลงร้อยละ -4.7 เมื่อเทียบกับ YoY ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยว 17,501,283 คน การลดลงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2564 โดยปัจจัยสำคัญมาจากนักท่องเที่ยวสัญชาติจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดของไทยลดลงมากถึงร้อยละ -34.1 เมื่อเทียบกับ YoY ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนกลายมาเป็นอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซีย นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียก็ยังคงมีจำนวนลดลงด้วยเช่นกันที่ร้อยละ -5.6

   การลดลงพร้อมกันของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมลดลง

  ทำไม มาเลเซีย ถึงนิยมเดินทางมาไทย

   อย่างไรก็ตาม พบว่ามีนักท่องเที่ยวบางสัญชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 เช่น อินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 รัสเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 ซึ่งอาจเป็นโอกาสและช่วยให้สถานการณ์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและโรงแรม ให้สามารถเติบโตต่อไปได้

   สำหรับสัญชาติของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศมากที่สุด 10 อันดับแรกในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ได้แก่ มาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และลาว มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 61.1 ณ ครึ่งแรกปี 2568 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศอยู่ที่ร้อยละ 60.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.1 เมื่อแบ่งเป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้ มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยมากที่สุดร้อยละ 70.9 รองลงมา ได้แก่ ภาคตะวันตกร้อยละ 65.2 ภาคตะวันออก ร้อยละ 63.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 59.0 กรุงเทพฯ - ปริมณฑล ร้อยละ 56.2 ภาคเหนือ ร้อยละ 55.5 และภาคกลางร้อยละ 55.1 ตามลำดับ ซึ่งเกือบทุกภาคมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น มีเพียงกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงร้อยละ -0.7

    สะท้อนว่า อุปสงค์หรือจำนวนผู้เข้าพัก ลดลงสวนทางกับจำนวนห้องพักสะสมที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดที่พักของกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงขึ้น และเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากภาวะอุปทานส่วนเกิน

ด้านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 9 พ.ย. 68 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 27 ล้านคน โดย นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่า สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการออกเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) นั้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) และนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในทั้งสองกลุ่มตลาด จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดหลัก อาทิ มาเลเซีย จีน และอินเดีย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป และอเมริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของตลาดระยะไกลในฤดูกาลท่องเที่ยวของ Season นี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 698,389 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 54,210 คน หรือร้อยละ 8.42 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 99,770 คน

สำหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การออกเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) และกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตรตม.6 รวมถึงการกระตุ้น และส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น