บ้านถูกยึดพุ่งQ2ทะยาน210%ประเมินน้ำท่วมกระทบGDP
Loading

บ้านถูกยึดพุ่งQ2ทะยาน210%ประเมินน้ำท่วมกระทบGDP

วันที่ : 25 พฤศจิกายน 2568
สศช.เผยแนวโน้มบ้านถูกยึดพุ่ง ไตรมาส 2 ขยายตัว 210% คาด ลงทุนผิดเวลาและแห่เก็งกำไร ห่วงน้ำท่วม ดันหนี้พุ่ง ประเมินกระทบจีดีพี 0.1-0.16% ขณะที่ระดับหนี้ครัวเรือนลดติดต่อกัน 6 ไตรมาสมาอยู่ที่ 86% ผลจากสินเชื่อหดตัว
    
    นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่า จากข้อมูลของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ในไตรมาส 2/2568 ที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดมีจำนวนสูงถึง 6.76 หมื่นหน่วย เพิ่มขึ้น 210% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน ทำให้สศช.มีความเป็นห่วงลูกหนี้สินเชื่อบ้าน หลังพบข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ สาเหตุที่บ้านถูกยึดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมา จากการที่มีการกู้ยืมในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และมีการลงทุนผิดเวลา รวมถึงมีการเก็งกำไร

    ทั้งนี้ จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า แม้ทรัพย์สินจะถูกขายทอดตลาด และยังอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม แต่ 1 ใน 3 ของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ยังต้องติดอยู่ในวงจรหนี้ จึงต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี

    ขณะเดียวกัน สศช.ยังมองความเสี่ยงในการก่อหนี้ของครัวเรือนที่ประสบสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะภาคเกษตร สิ่งที่ต้องดูแล คือ ต้องดูแลลูกหนี้บ้านก่อน เข้าสู่กระบวนการบังคับคดี คือ อย่าให้ลูกหนี้ ถูกยึดบ้าน ซึ่งกรมบังคับคดีพยายามดูแลในเรื่องนี้อยู่ และสองคือการส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งที่ผ่านมาธกส.ได้ออกสินเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0%ใน 6 เดือนแรก และมีสินเชื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตวงเงิน วงเงินรายละไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น

    ทั้งนี้ สภาพัฒน์ได้คาดการณ์ผลกระทบ จากน้ำท่วมในปีนี้ กรณีผลกระทบน้อยสุด มูลค่าความเสียหายราว 1.8 หมื่นล้านบาท กระทบ จีดีพี 0.1% กรณีผลกระทบปานกลาง มูลค่า ความเสียหาย 2.3 หมื่นล้านบาท หรือกระทบจีดีพี 0.13% ต่อจีดีพี และกรณีผลกระทบมากสุด มูลค่าความเสียหาย 2.9 หมื่นล้านบาท หรือกระทบจีดีพี 0.16%

    ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนนั้น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 โดยอยู่ที่ 86% ในไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวก แต่หนี้ที่ลดลงส่วนสำคัญมาจากการหดตัวของสินเชื่อทุกตัว ยกเว้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่เคยพุ่งไปอยู่ในระดับ 94-95% ต่อจีดีพี

    "สินเชื่อเกือบทุกประเภทหดตัวลง ยกเว้นสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัว 1.7% ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีมาตรการต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการผ่อนคลาย LTV มาตรการลดค่าจดจำนองและค่าโอนอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สินเชื่อยานยนต์ หดตัว 9.6% หดตัว สินเชื่อบัตรเครดิตหดตัว 2.6% และสินเชื่อบุคคลภายใต้กำกับ หดตัว 0.2%"

    ทั้งนี้ มาตรการของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้และการตัดหนี้ขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ถูกคาดหวังว่าจะช่วยลดภาระหนี้ได้ จะมีส่วนสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้สถาบัน การเงินสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญสำหรับมาตรการนี้ คือ ผู้ที่ ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มักมาเข้าร่วมมาตรการ ไม่ครบ หรือมาไม่ทัน ดังนั้น การสื่อสารไปยังประชาชนเพื่อกระตุ้นให้เข้าถึงมาตรการอย่างทันท่วงทีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

    นางสาวอ้อนฟ้า กล่าวว่า สศช.เห็นด้วยกับแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เพื่อช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัด ด้านหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะในปี 2568 จะอยู่ที่ 64.8% ของจีดีพีและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไปอยู่ที่ 68.2 ของจีดีพีภายในปี 2573 ขณะที่ รายได้จาก VAT เป็นรายได้หลักของรัฐบาล หรือ 29.3% ของรายได้รวม หากมีการปรับขึ้น VAT ในอัตรา 1% จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่ม ราว 9 หมื่นล้านบาท

    "หากมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ขึ้น 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 7 หมื่นล้านบาท หรืออาจถึง 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ สามารถครอบคลุม ค่าใช้จ่าย ในเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ใช้ปีละ 9 หมื่นล้านบาท, หรือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปีละ 5 หมื่นล้านบาท หรือโครงการให้เงินเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ปีละ 1.7 หมื่นล้านบาท"
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ